ผมและเพื่อนๆ ยืนนิ่งในท่าพักตามระเบียบกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยงเพื่อร่วมในพิธีปิด หัวหน้าชุดฝึกให้โอวาทกับพวกเราทุกคน พอเขาให้โอวาทจบแล้ว ก็เรียกหัวหน้ากองพันให้ขึ้นมาพูดหน้าแถวถึงความรู้สึกในการเรียนร.ด. มาถึงปี 5 ว่ารู้สึกยังไงบ้าง
หัวหน้ากองพันก้าวขึ้นมายืนบนแท่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ 1 ครั้ง แววตาและสีหน้าของเขาดูมุ่งมั่น และจริงจังมาก ผมและเพื่อนๆ จ้องหัวหน้ากองพันเป็นตาเดียว เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มต้นพูดด้วยเสียงดังฟังชัด น้ำเสียงหนักแน่นสมกับเป็นชายชาติทหาร
"ชาติของเรา เป็นไทอยู่ได้ จนถึงตัวเราในวันนี้ เพราะบรรพบุรุษของเรา เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต และความลำบากยากเข็ญเข้าแลกไว้ เราต้องรักษาชาติ เราต้องบำรุงชาติ เราต้องสละชีพเพื่อชาติ คำปฏิญาณเหล่านี้ ผมเคยพูดอยู่เป็นประจำในวันที่มีเรียนร.ด. จนถึงวันสุดท้ายที่ผมเรียนร.ด. ทำใหัผมรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของแผ่นดิน และพระคุณของบรรพบุรุษและวีรบุรุษเหล่านั้น การที่ผมได้เรียนร.ด. ทำให้ผมได้เข้าใจว่าความรักชาติเป็นอย่างไร ผมรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจมากที่ได้เรียนมาจนถึงปี 5 ผมได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่หาไม่ได้จากในตำรา ได้กลายเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ หลายคนคิดว่า เรียนร.ด. แล้วจะไม่ต้องเป็นทหาร แต่ความจริงแล้ว ร.ด. นี่แหละคือทหาร ทหารที่มีความเป็นทหารเต็มตัวและเต็มหัวใจ พร้อมที่จะรับใช้ชาติก่อนที่จะถึงเกณฑ์ 21 ปี ร.ด. เป็นกำลังพลสำรองหลักระดับผู้บังคับบัญชา เป็นชายชาติทหารที่อาสาเข้ามารับราชการทหารตามกฎหมายและได้รับการฝึกวิชาทหารอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับสิทธิไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร แต่ให้ขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้วปลดเป็นทหารกองหนุนได้เลย ร.ด. จึงมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี และมีความสำคัญยิ่งต่อการรับใช้ชาติและปกป้องผืนแผ่นดินไทยให้คงอยู่สืบต่อไป ชั่วลูกชั่วหลาน
ผมภูมิใจเหลือเกินครับที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสเรียนร.ด. จนจบปี 5 ผมได้เป็นว่าที่ร้อยตรีสมใจแล้วครับ..."
น้ำตาของผมและเพื่อนๆ หลายคนในหมวดไหลลงมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว คำพูดของหัวหน้ากองพันช่างกินใจเสียเหลือเกิน หัวหน้ากองพันก็น้ำตาไหลเหมือนกันด้วยความปลื้มปีติ เขาแสดงความเคารพบรรดาครูฝึกก่อนจะก้าวลงจากแท่น หัวหน้าชุดฝึกสั่งให้ทุกคนหมอบกราบลาพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 เป็นครั้งสุดท้ายก่อนอำลาเขาชนไก่ ผมหมอบกราบลงไปบนพื้นดิน น้ำตาของผมหยดลงบนพื้น
ณ ลานพระบรมรูปแห่งนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน ผมเคยมารวมพลที่นี่เป็นครั้งแรก ที่นี่เป็นที่แรกที่เท้าของผมสัมผัสกับผืนดินเขาชนไก่ มาวันนี้ ที่นี่ก็เป็นที่สุดท้ายที่เท้าของผมจะสัมผัสก่อนที่จะจากเขาชนไก่ไปตลอดกาล
พอกราบเสร็จ ทุกคนก็ลุกขึ้น ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปขึ้นรถ หัวหน้ากองพันก็ตะโกนขึ้นมาดังลั่น
" 51!!51!! "
ผมและเพื่อนๆ ร่วมร้อยชีวิตตะโกนต่อโดยมิได้นัดหมาย
" เหยี่ยวดง! องอาจ ! รู้หน้าที่ ! มีวินัย ! ตั้งใจฝึก! เอี้ย! เอี้ย! เอี้ย! "
นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้กล่าวคำพูดนี้
ผมและเพื่อนๆ แยกย้ายกันไปขึ้นรถ ไม่นานรถก็แล่นออกจากค่ายตอน 2 โมงเย็น ผมมองทิวทัศน์ 2 ข้างทางเป็นครั้งสุดท้าย ต้นไม้แห้งๆ ป่าเขียวๆ ตัวอักษร ร.ด. ที่ติดอยู่บนภูเขา ภาพเหล่านี้ผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว พอรถออกมาจากค่ายแล้ว ทุกคนในรถเฮลั่นด้วยความดีใจ ในที่สุดพวกเราก็เรียนจบปี 5 แล้ว ได้เป็นว่าที่ร้อยตรีสมใจกันทุกคน แล้วทุกคนก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ลาก่อน เขาชนไก่....
..............................
พวกเรามาถึงหมอชิต 2 ประมาณ 6 โมงเย็น แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมไม่เจอเพื่อนๆ เลยเพราะพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันขึ้นรถกลับบ้านต่างจังหวัดกันหมด ผมจึงขึ้นรถแท็กซี่กลับคนเดียว พอถึงบ้าน ผมรีบเข้าบ้านเพื่อที่จะมาบอกพ่อว่า ผมกลับมาแล้ว
" พ่อครับ ผมกลับมาแล้วครับ ผมเรียนจบปี 5 แล้วนะครับ "
ผมพูดด้วยความดีใจ เงียบ ! ไม่มีเสียงตอบกลับจากพ่อ ผมรีบปลดเป้สนามและเข็มขัดสนามออกวางไว้ที่ห้องรับแขก แล้วขึ้นบันไดไปที่ห้องพระ เพราะผมรู้ว่า พ่อรอผมอยู่ในห้องนั้น
ผมเปิดประตูห้องพระแล้วเดินเข้าไป ไม่มีร่างของพ่ออยู่ในห้องพระ มีเพียงแต่ความว่างเปล่า ผมนั่งพับเพียบลงบนพื้นแล้วพูดเสียงเครือ
" ผมทำสำเร็จแล้วครับพ่อ ผมทำได้แล้ว ผมกำลังจะได้เป็นว่าที่ร้อยตรีแล้วนะครับ "
ผมหยุดพูดนิดนึง น้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม
" ลูกชายที่อ่อนแอของพ่อ กำลังจะได้เป็นว่าที่ร้อยตรีแล้ว พ่อดีใจมั๊ยครับ ตอนนี้ผมไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมเข้มแข็งขึ้นมาก เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวแล้วด้วย ที่ผมมีวันนี้ได้เพราะพ่อครับ พ่อคอยให้กำลังใจผมยามผมล้ม ยามผมท้อแท้พ่อก็ทำให้ผมฮึดสู้ พ่อทำให้ผมฝ่าฟันอุปสรรคในการเรียนร.ด. มาจนจบปี 5 ได้ ถ้าไม่มีพ่อ ผมคงเลิกเรียนร.ด. ไปตั้งแต่ปี 1 แล้ว "
ผมสะอื้นเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
" ผมอยากให้พ่อได้เห็นความสำเร็จของผมจังเลยครับ ผมเชื่อว่าพ่อมองดูผมอยู่บนสวรรค์ พ่อครับ ผมคิดถึงพ่อจริงๆ ครับ "
ผมก้มลงกราบลงไปต่อหน้าโกศที่บรรจุกระดูกของพ่อ น้ำตาของผมไหลลงบนพื้น ลมเย็นๆ พัดโชยมากระทบใบหน้าของผม พอผมเงยหน้าขึ้น แสงจันทร์จากบนท้องฟ้าก็สาดส่องผ่านหน้าต่างลงมาตรงใบหน้าของผมพอดี แววตาของผมเปล่งประกายด้วยความปลื้มปีติ พ่อคงรับรู้ความสำเร็จของผมแล้วแน่นอน น้ำตาของผมไหลออกมาช้าๆ ผมมองโกศที่บรรจุกระดูกของพ่อ แล้วพูดเบาๆ
" ผมจะเป็นว่าที่ร้อยตรีที่ดีครับพ่อ ผมสัญญา ผมจะปกป้องผืนแผ่นดินไทยไว้ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของผมเอง หลับให้สบายนะครับ ไม่ต้องห่วงผม ผมรักพ่อมากครับ "
ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง พระจันทร์เต็มดวงกลมโตลอยเด่นอยู่ตรงหน้าผม ตรงกลางของพระจันทร์ดูเหมือนมีร่างของพ่อผมอยู่ในนั้นด้วย และมีผมในวัยเยาว์อยู่เคียงข้าง พ่อกำลังกอดคอกอดไหล่ผม เล่นกับผมอย่างมีความสุข สีหน้าของทั้งพ่อและผมดูมีความสุขมาก เรามีกัน 2 คนพ่อลูกเท่านั้น และเราเคยมีความสุขกันแบบนี้มาหลายสิบปี??.ก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตลงเมื่อตอนที่ผมเรียนร.ด. ปี 4
พ่ออยู่ไม่ทันเห็นผมได้เป็นว่าที่ร้อยตรี แต่คืนนี้พ่อคงรับรู้แล้วว่า....
" ผมทำสำเร็จแล้วครับ "
ผมมองพระจันทร์พร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น