วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"เรื่องเล่าคาวน้ำกาม" 11

วันแรกของการเปิดภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2539

ผมอยู่ปี3 แล้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ยังจำได้ดีถึงวันแรกที่เข้ามาเป็นนักศึกษาใหม่ ความรู้สึกนั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี่เอง

ผมยังคงพักอยู่ที่เดิม ส่วนบอลก็ยังคงพักอยู่ห้องข้างๆผม ในเทอมนี้เอง น้องชายของบอล ซึ่งสอบติดมหาลัยเดียวกัน ได้เข้ามาพักอยู่ห้องเดียวกับบอล

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับบอลเริ่มแน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนนัก (เกือบทุกคืนบอลต้องมาส่งส่วยความเสียวให้ผมเป็นประจำ)

ส่วนป้อง ผมไม่ได้เห็นเขาอีกเลยหลังจากครั้งนั้น(ซึ่งก็นานมาก) ดีเหมือนกันจะได้ลืมหน้าคนใจร้ายใจดำเร็วขึ้น


ช่วง 2-3 อาทิตย์แรกของการเปิดเทอม คงจะไม่มีกิจกรรมไหนที่สำคัญและโดดเด่นมากไปกว่า "การรับน้องใหม่" สำหรับผมแล้ว ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นอะไรมากกับกิจกรรมนี้ เพราะอยู่ชั้นปี3 แล้ว ซึ่งกิจกรรมนี้ผู้ที่มีบทบาทส่วนใหญ่มักจะเป็นนักศึกษาชั้นปี2 มากกว่า

แน่นอนว่าช่วงนี้ ผมกับบอลไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกันเท่าไหร่ เพราะบอลมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรับน้องใหม่ของคณะ (ได้ข่าวมาว่า บอลเป็นหนึ่งในหัวหน้าว๊ากของคณะ ผมอยากจะขำกลิ้งจริงๆ หน้าอ่อนๆใสๆอย่างบอล เวลาว๊าก ใครเขาจะกลัว ขนาดมาว๊ากมาบ่นใส่ผมๆยังไม่กลัวเลย)

เย็นวันหนึ่ง หลังจากจอดรถที่ลานจอดเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นบันไดทางเดิน เพื่อไปยังห้องพัก

"พักอยู่ที่นี่หรือ? ไม่เจอกันนาน จำเราได้ไหม?" ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ระเบียงทางเดินกล่าวทักทายผม ผมเห็นหน้าของเขาไม่ชัด ตรงระเบียงทางเดิน ค่อนข้างมืด เนื่องจากแสงของหลอดไฟสาดส่องไม่ทั่วถึง

ผมเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเจ้าของเสียง เพื่อที่จะดูหน้าตาให้ชัดว่าเป็นใครกันแน่

"อ๋อ… นายนั่นเอง เดี๋ยว… อย่าเพิ่งบอกชื่อ ขอเวลาเรานึกชื่อนายแป๊บหนึ่ง" ผมจำหน้าชายหนุ่มคนนั้นได้ แต่นึกชื่อไม่ออก มันติดอยู่ตรงมุมปาก

ชายหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"เสือ ใช่ไหม?" ในที่สุดผมก็จำชื่อของเขาได้ (ยังจำเสือได้ไหมครับคุณผู้อ่าน? จากตอนก่อนหน้านู้น)

"เก่งมาก เก่งแบบนี้น่าจะให้รางวัลซักหน่อย" เสือปรบมือให้ผม

"รางวัลอย่างเช่นพาไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง ใช่ไหม? ยินดีเสมอและว่างทุกเวลา" ผมพูดรับมุข

"เราคงถังแตกแน่ กันต์กินจุไหม?" เสือยังเล่นมุขไม่ยอมเลิก

"กินไม่จุ กลัวอ้วน แต่อย่างอื่นกินจุชนิดที่ไม่มีอิ่ม ว่าแต่นายมาทำอะไรอยู่ที่นี่? พักอยู่ที่นี่หรือ?" ผมถามอย่างสงสัย

"ตอนนี้เราย้ายไปอยู่หอที่ฝั่งสวนดอกแล้ว เรามาหาเพื่อนที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน มันพักอยู่ห้องมุมสุดนี่เอง กันต์พักอยู่ที่นี่หรือ?" เสือบอกถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่

"ใช่.. ห้องเราอยู่ฝั่งปีกขวา นายจะกลับแล้วหรือ?" ผมถามฝ่ายตรงข้าม

"คงงั้น เจอนายได้จังหวะพอดี เรามาแต่ตัวไม่ได้หยิบจับอะไรมาเลย ว่าจะลงไปขอยืมปากกากับเศษกระดาษจากลุงยามข้างล่างซะหน่อย นายพอมีปากกากับเศษกระดาษให้เรายืมบ้างไหม? เราจะเขียนโน๊ตทิ้งไว้ให้เพื่อนเรา" เสือยิ้มอย่างมีความหวัง

"ไม่ต้องห่วง เราว่าเข้าไปคุยกันในห้องเราก่อนไหม? รีบไปไหนหรือเปล่า?" ผมเชิญชวนเสือ (เผื่อฟลุ๊ค เข้าใจวางแผนจริงๆ ช่วงนี้บอลไม่ค่อยได้มาส่งส่วย เพราะยุ่งกับการรับน้องใหม่ ผมเลยอดอยากมากกว่าปรกติ ผมยอมรับอย่างเต็มอกว่า ตัวเองเป็นคนที่มีความต้องการสูงมากถึงมากที่สุด เมื่อเงี่ยนเกินพิกัดแบบนี้ ต้องหาทางเอาน้ำกำหนัดออกให้เร็วที่สุดเท่าที่มีโอกาส)

"ไม่รีบ ดีเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันนาน อยากจะทำความรู้จักกันต์ให้มากกว่านี้" เสือรับคำเชิญ พร้อมเดินตามผมเข้าไปในห้อง

"กันต์อยู่คนเดียวใช่ไหม?" เสือกวาดสายตาไปรอบห้อง

"ใช่" ผมตอบสั้นๆ

"แล้วน้องรหัสสุดเฮี๊ยบตอนนี้เป็นไงบ้าง เรายังจำได้ ตอนนั้นน้องเขาไม่ค่อยพอใจที่เราเข้ามาคุยกับกันต์ คงกลัวเราจะเข้ามาจีบพี่รหัส" เสือพูดทบทวนความหลัง

"น้องก้องนะเหรอ ตอนนี้คงกำลังว๊ากน้องปี1 อยู่มั้ง เห็นได้รับเลือกเป็นหัวหน้าว๊ากของรุ่นด้วย เสือความจำดีเยี่ยมจริงๆ" ผมชมฝ่ายตรงข้าม

"อะไรที่เกี่ยวกับกันต์ เราจำได้เสมอ" เสือหยอดคำหวาน

"ดูพูดเข้า ปากหวานแบบนี้คงจะมีคนรักคนชอบสนั่นเมืองซินะ เราขอตัวเปลี่ยนเสื้อแป๊บหนึ่ง จะได้สบายตัว" ผมค่อยถอดเสื้อนักศึกษาออกอย่างช้าๆ เพื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อยืด (อ่อยแบบมีชั้นเชิงสุดฤทธิ์)

"กันต์ผิวเนียนจัง" เสือมองดูผมเปลี่ยนเสื้อ จากนั้นจึงใช้มือลูบหน้าท้องผมอย่างเบาๆ

เวลานี้ผมรู้สึกเสียววาบๆเล็กน้อย จนเป้ากางเกงค่อยๆพองโตทีละนิด

"เปลี่ยนแต่เสื้ออย่างเดียว ไม่เปลี่ยนกางเกงด้วยหรือ?" เสือเริ่มแซวผม สายตาของเสือจ้องมองที่เป้ากางเกงผมอย่างใจจดใจจ่อ

"ไม่หรอก เรายังไม่ได้กินข้าวเลย เราชอบใส่ยีนส์เวลาออกไปกินข้าวข้างนอก ยุงจะได้ไม่กัด นายกินข้าวหรือยัง? ถ้ายัง เดี๋ยวออกไปกินด้วยกันไหม?"

"ได้เลย แต่ตอนนี้เราอยากกินอย่างอื่นมากกว่า" เสือพูดกำกวม

"นายอยากกินอะไรละ?" ผมเล่นลิ้นยั่วยวนเพื่อเพิ่มความอยากให้ฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้มือเกาตรงเป้ากางเกงของตัวเอง เป็นพักๆ (ขอยืมไอเดียของเต้ยมาใช้)

"อยากกินใส้กรอกในกางเกงยีนส์" เสือแสดงความประสงค์ของตน

"ร้านไหนหรือ? เราไม่เคยได้ยินมาก่อน?" ผมแกล้งทำเป็นโง่ ไม่รู้เรื่อง

"ถ้าอยากรู้ หลับตาก่อนซิ เดี๋ยวเราจะพาไป" เสือเริ่มเปิดเกมส์

ผมหลับตาพริ้ม ทันใดนั้นหัวเข็มขัดและหัวกระดุมกางเกงยีนส์ที่ผมสวมใส่อยู่ ก็ถูกปลด พร้อมทั้งซิปถูกรูดออกมา เสือใช้มือทั้งสองจับขอบกางเกงยีนส์และขอบกางเกงในของผม ติดกันแน่น จากนั้นก็ถลกกางเกงยีนส์พร้อมกับกางเกงในของผม ลงไปกองกับพื้น

"โอ้โห… ลำกล้องของกันต์ทั้งสวยทั้งใหญ่ น่าลิ้มลอง ขนยังดกดำอีกต่างหาก" เสือรำพึงรำพันออกมา

"ถึงคราวที่เราจะยลโฉมมังกรของนายบ้างแล้วนะ" ผมจัดการถอดกางเกงและกางเกงในของเสือออกจนหมด

มังกรของเสือขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่และไม่เล็ก หัวปิด ลูกชิ้นเอ็นทั้ง 2 ลูก ห้อยโทงเทงเล็กน้อย และมีขนขึ้นเบาบางที่หัวหน่าว ผมใช้มือเล่นกับอวัยวะเพศของเสืออย่างสนุกสนาน จนแข็งโด่อย่างทันควัน

"ไม่ต้องอมให้เราก็ได้ เรากลัวมีกลิ่น เช้านี้ตื่นสาย กลัวไปเรียนไม่ทันเลยไม่ได้อาบน้ำ" เสือกระซิบข้างหูผมอย่างอายๆ โดยใช้มือจับหน้าผมไว้ ก่อนที่ผมจะจัดการลิ้มรสกระจู๋หวาน

เสือใช้มือถอกหนังหุ้มอวัยวะเพศของผมเล่น จนหัวเปิดออกมาสัมผัสโลกภายนอก ส่วนมืออีกข้างเคล้าคลึงลูกชิ้นเอ็นทั้ง 2 ลูกของผม

"อูยส์... อูยส์... ดีมาก ค่อยๆ" ผมร้องครวญครางด้วยความเสียว

พอเคล้าคลึงลูกชิ้นเอ็นของผมจนหนำใจแล้ว เสือก้มหน้าเข้าหามังกรของผม พร้อมทั้งอ้าปากอมมังกรของผมจนมิดลำ จากนั้นจึงค่อยใช้ริมฝีปากรูดมังกรของผมอย่างเป็นจังหวะ

ผมครางออกมาด้วยความเสียวพร้อมทั้งใช้มือจับขมับทั้งสองข้างของเสือโยกเข้าๆออกๆตามจังหวะ

"เราเอานายได้ไหม?" ผมกระซิบข้างหูเสือ

เสือพยักหน้า ผมเอื้อมมือไปหยิบเจลหล่อลื่น พร้อมทั้งชะโลมไปทั่วแท่งตอปิโดของผม

เมื่อตอปิโดพร้อมรบ ผมก็บีบเจลใส่ปลายนิ้วมือ และทาตรงปากทางเข้าถ้ำทองของเสือ

ผมค่อยๆดันแท่งตอปิโดเข้าปากถ้ำทองของเสืออย่างช้าๆ เพราะกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะเจ็บ

"ไม่ต้องเกร็ง ค่อยๆหายใจเข้าออกช้าๆ" ผมแนะนำเสือ

เมื่อเสียบแท่งตอปิโดเข้ารูดากของเสือจนมิดด้าม ผมก็ปฏิบัติการโยกเข้าๆออกๆตามสปีด

เวลานี้เสือเริ่มครางอย่างเคลิ้มๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ทำท่าว่าจะร้องจ๊ากด้วยความเจ็บปวด

ฝ่ายตรงข้ามเสียวซะขนาดนี้ ผมคงต้องเร่งเครื่องสมนาคุณแบบจัดเต็ม โดยการกระเด้าซอยอย่างรัวๆถี่ๆ ยิ่งเสือโยกตูดรับกับจังหวะของกระดอผมด้วย ทำให้ผมเสียวตรงบริเวณหัวกระดอเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ถึงนาทีผมร้องเสียงหลง พร้อมกับหลั่งน้ำอสุจิออกมาในรูดากของฝ่ายตรงข้าม

ผมใช้มือชักว่าวและเคล้าคลึงลูกชิ้นเอ็นของเสือ จนน้ำอสุจิของเสือพุ่งออกจากกระบอกปืน

ตั้งแต่วันนั้น ผมได้มีโอกาสเจอเสืออีกประมาณ 2-3 ครั้ง คณะที่เสือเรียนอยู่นั้น ค่อนข้างจะเรียนหนัก และหอพักของเสืออยู่ห่างจากผมพอสมควร (ผมอยู่หลังมอ ฝั่งสวนสัตว์ ส่วนเสืออยู่ฝั่งสวนดอก) ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้โอกาส+เวลาที่เราจะได้เจอกันไม่ลงตัว + ต่างฝ่ายมัวแต่ยุ่งกับภาระกิจของตนเอง เลยต้องห่างเหินกันโดยปริยาย

……………………………………………………………………………………………………………

หลังจากเสร็จสิ้นเทศกาลรับน้องใหม่แล้ว ผมมีโอกาสได้เจอบอลบ่อยขึ้น แต่ก็ยังไม่บ่อยเท่ากับปีที่แล้ว เพราะบอลต้องดูแลและเป็นธุระต่างๆให้กับน้องชายที่เพิ่งเข้ามาเป็นนักศึกษาใหม่ อีกทั้งช่วงที่เราทั้งสองว่างพร้อมๆกัน ดันมาเป็นช่วงเทศกาลสอบกลางภาคอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างก็ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ(เซ็งเป็ดจริงๆตรู)

พอสอบกลางภาคเรียบร้อยแล้ว บอลยังต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนในโครงการนักศึกษาแลกเปลี่ยนไทย-จีน รอบ 2 ตามด้วยสอบสัมภาษณ์อีก (ซึ่งบอลสามารถสอบผ่านรอบแรกได้)

ดังนั้นผมเลยต้องใช้วิธีโลกสวยด้วยมือเราแก้ขัดไปก่อน

----- เย็นวันหนึ่ง บริเวณหน้าโรงภาพยนต์ ณ ห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้ว -----

ผมกำลังดูโปสเตอร์หนังที่กำลังเข้าฉายในแต่ละโรงอย่างเพลิดเพลิน

"มาคนเดียวหรือ?" เสียงทักทายดังขึ้นมา (เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงซะด้วย)

ผมหันไปมองด้วยความอยากรู้ พอหันไปสบตาเท่านั้น ผมรู้สึกเซ็งปนรำคาญ(แต่รู้สึกรำคาญมากกว่า)อยากจะวิ่งหนีไปให้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

"นึกว่าใคร ที่แท้ยัยหมีเล่นหวย(ห้ามผวนนะครับ ไม่สุภาพเป็นอย่างยิ่ง) นี่เอง " ผมแอบบ่นอยู่ในใจคนเดียว

"ตอนนี้มาคนเดียว แต่อีกประเดี๋ยว ก็จะมากันหลายคน เรานัดญาติไว้ พวกเขาเพิ่งมาถึงเชียงใหม่ พักอยู่ที่ปางสวนแก้ว หมวยมาคนเดียวหรือว่ามากับใคร?" ผมทักทายตามมารยาท แถมแจกสตอเบอรี่ให้ยัยหมวยไปหลายกิโล

"มากับยุ้ย น่าเสียดายเนอะ ถ้ากันต์มาคนเดียว จะได้ชวนไปดูหนังด้วยกัน หมวยอยากดูหนังกับกันต์มาก เมื่อไหร่จะได้มีโอกาสมาเที่ยวและมาดูหนังกับกันต์บางนะ" ยัยหมวยเริ่มออดอ้อน โดยพยายามเก๊กหน้าโชว์ความเซ็กส์ซี่(เสื่อม)

"ยุ้ยอยู่ไหน?" ผมหันซ้ายหันขวามองหา

"ยุ้ยไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวมา ตอนนี้กันต์อยู่หอไหน? ในหรือนอก?" ยัยหมวยเริ่มถามผม

"เราต้องรีบไปก่อนนะ เรามาช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง มีหวังโดนพวกญาติๆบ่นแน่ๆ" ผมแกล้งมองนาฬิกา เพื่อหาโอกาสชิ่งหนีอย่างโดยเร็ว (แอ็คติ้งเนียนจริงๆตรู)

ผมรีบเดินหนีออกมาอย่างเร็ว อารมณ์อยากดูหนังหดหายไปหมดสิ้น ผมไม่ชอบชะนีเอามากๆ(หมายถึงชอบในทางชู้สาว) สำหรับผมถือว่าเป็นของแสลง

ผมเดินหนีอย่างรีบเร่ง จนทำให้ไม่ได้ดูทิศทางและผู้คน ผมรู้สึกว่าตัวเองเดินไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า (จากแรงปะทะ ทำให้สัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีหน้าอก)

"ขอโทษครับ ผมรีบเลยเดินไม่ได้ดู อย่าโกรธและอย่าถือสาผมเลยนะครับ ผมยอมรับผิดที่ทำอะไรประมาท ไม่รู้จักระวัง" " ผมรีบขอโทษขอโพย โดยไม่ทันมองหน้าฝ่ายตรงข้าม

พอผมเงยหน้าขึ้นมามองคู่กรณี ผมแทบหงายเงิบ+ลมจับทันที เพราะคู่กรณีไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือ นังกองฟาง เมียของป้อง นั่นเอง (สองเด้งจริงๆตรู)
นังกองฟางมากับป้อง โดยมีป้องทำหน้าที่เป็นขี้ข้าถือกระเป๋า+ถุงช็อปปิ้งเดินตามก้นอยู่ต้อยๆ ส่วนนังกองฟางเดินเชิ่ดนำหน้า ท่าเดินของนางเหมือนกับนางแบบเดินบนแคทวอล์คยังไงยังงั้น
"ไม่เป็นไรคะ ฟางเองเดินดูของจนลืมดูคนเหมือนกัน จะว่าไปตัวฟางก็มีส่วนผิดอยู่ ถือว่าหายกันนะคะ" นังกองฟางยิ้มให้ผม (คำตอบของนางช่างโลกสวยมากๆ ถ้าไปตอบคำถามบนเวทีประกวดนางงาม รับรองมงกุฏหล่นใส่หัวนางแน่ๆ)

ผมยืนเอ๋อรับประทานไปชั่วขณะ (จะไม่ให้เอ๋อรับประทานได้ไง หนีเสือปะจระเข้ แท้ๆเลยตรู)

ครั้นเรียกสติกลับคืนมาได้ ผมรีบกล่าวคำขอบใจคู่กรณี

ก่อนที่จะเดินแยกย้ายไปนั้น ผมแอบชำเลืองมองดูป้องที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาของป้องที่มีให้ผมนั้น มันช่างดูเย็นชาไร้อารมณ์ ปราศจากอากัปกริยายินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น

ผมเดินลงบันไดเลื่อนอย่างเหม่อๆ การเจอป้องในครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเข้มแข็งและหนักแน่นมากกว่าเมื่อก่อน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมแทบจะเจ็บปวดรวดร้าว กระวนกระวายกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวันหลายคืน

แต่ในเวลานี้ วินาทีแรกที่ผ่านมาซักครู่ ผมยอมรับว่ารู้สึกจี๊ดๆร้อนๆหนาวๆไปชั่วขณะ แต่พอไม่กี่นาทีผ่านไป อารมณ์+ความรู้สึกของตัวเองก็สามารถปรับเข้าสู่โหมดปรกติได้โดยอัตโนมัติ ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "กาลเวลาเป็นยารักษาใจชั้นยอด"


ผมเดินมายังแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นใต้ดิน เพื่อซื้อขนมและของขบเคี้ยวต่างๆ


"หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน?" ผมพูดกับตัวเอง พร้อมกับชะเง้อมองดูหนุ่มน้อยที่กำลังยืนเลือกซื้อสบู่ แชมพู

หนุ่มน้อยคนนี้ใส่ชุดนักศึกษาผูกไทด์ เท่าที่ดูจากเครื่องแบบน่าจะเป็นมหาลัยเดียวกับผม

"น่าจะใช่นะ เข้าไปทักก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าผิดคน อย่างมากก็แค่กล่าวคำ ขอโทษ" ผมบอกตัวเอง

"ใช่… ทอย หรือเปล่า?" ผมทักหนุ่มน้อยอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เนื่องจากทรงผมที่เปลี่ยนไป เลยอาจทำให้หน้าตาเปลี่ยนตามไปด้วย (หนุ่มคนนั้นไว้ผมสั้นรองทรง ส่วนหนุ่มคนที่ผมเห็นในตอนนี้ ไว้ผมยาวเลยติ่งหูพอสมควร)

"ครับ… เดี๋ยว!!! กันต์ ใช่ไหม?" หนุ่มน้อยรูปหล่อมาดเซอร์คนนั้น พยายามนึกชื่อผม

"ใช่ ทอยจริงๆด้วย ไปยังไงมายังไง? ไม่ได้เจอกันจะเกือบปีแล้วนะ" ผมถามสารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่าย (คุณผู้อ่านคงจะจำทอย น้องชายของพี่ทีสุดหล่อได้นะครับ)

"เราสอบได้คณะวิจิตรฯ พักอยู่หอ3 นายละอยู่หอไหน?" ทอยถามไถ่ผม ด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ

"เราอยู่หอนอก หลังมอ นี่มาคนเดียวหรือว่ามากับใคร? " ผมหันหน้ามองไปรอบๆ

"มาคนเดียว เรื่องมันยาว เดี๋ยวเราให้ฟัง กันต์มากับใครแล้วมายังไง?" ทอยถามกลับ

"เรามาคนเดียว นายว่างไหม? จะได้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน" ผมกล่าวเชิญชวน

"ตกลง ดีเหมือนกันกำลังหิวอยู่พอดี" ทอยรับคำเชิญ

ผมพาทอยไปกินข้าวที่ศูนย์อาหารบนชั้น3 ตอนแรกกะว่าจะพาไปร้านอาหารตามสั่งแถวช้างเผือก แต่ข้างนอกฝนตกหนัก เลยถือเอาความสะดวกสบายเป็นหลัก


เราทั้งสองได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบต่างๆนานา..

ทอยเล่าให้ผมฟังว่า ก่อนจะเจอผมที่กาดสวนแก้ว เขาได้ขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวรอบตัวเมือง แต่มอเตอร์ไซด์เสียข้างทาง เลยต้องจูงเดินไปหาร้านซ่อมละแวกนั้น โชคดีที่เจอร้านซ่อมรถใกล้กับกาดสวนแก้ว พอส่งมอเตอร์ไซด์เข้าอู่เสร็จ ฝนเริ่มตก เลยเข้ามาหลบฝนที่กาดสวนแก้ว

อีกเรื่องที่ทอยเล่าอย่างเซ็งๆคือ มาเรียนที่เชียงใหม่ ทอยรู้สึกเหงาและเบื่อ เนื่องจากเขาไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่(เห็นบอกว่า ไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนๆในคณะ ตามภาษาชาวบ้านคือ ยังหากลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมไม่ได้) และที่สำคัญคือ ทอยไม่ค่อยกินเส้นกับรูมเมทของเขาเท่าไหร่ เลยทำให้ไม่อยากอยู่หอ (ตามประสาคนมีอารมณ์ศิลปิน+ติสแตกชนิดที่มากถึงมากที่สุด)


เรื่องที่ผมรอฟังจากปากของทอยอย่างใจจดจ่อคือเรื่อง พี่ทีสุดหล่อ โดยทอยเล่าให้ฟังว่า พอเรียนจบ พี่ทีก็บินไปอยู่กับพ่อแม่ที่อเมริกาทันที ตอนนี้กำลังสมัครเรียนต่อปริญญาโท (ผมลืมบอกไปตั้งแต่ต้นว่า พี่ทีเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับพี่ต่อ แต่พี่ทีสอบเทียบได้ตอนม.5 และยังสอบเอ็นฯติดอีกด้วย ดังนั้นพี่ทีจึงเข้าเรียนมหาลัยเร็วกว่าพี่ต่อ 1 ปี)

"คืนนี้ว่างไหม? วันเสาร์กับอาทิตย์ว่างหรือเปล่า?" ผมถามทอย

"ว่าง ทำไมหรือ?" ทอยทำหน้าสงสัย

"ไปเล่นวีดีโอเกมส์ที่หอเราไหม? ส่วนวันพรุ่งนี้เรากะไปเที่ยวลำพูนกับลำปางอยู่พอดี เราจะได้มีนายไปเป็นเพื่อน งั้นคืนนี้นายมาค้างที่หอเรานะ?" ผมยื่นข้อเสนอพร้อมกับเชิญชวนทอย

"อยากจะตอบตกลง แต่เราเกรงใจนายมาก" ทอยตอบอย่างตรงไปตรงมา

"เกรงใจอะไรกัน เรายินดีอย่างเต็มที่ ถ้านายไม่สะดวกใจ ให้คิดซะว่า นายเป็นตัวแทนของพี่ที เรายังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนความมีน้ำใจของพี่ทีเลย ยิ่งตอนนี้พี่ทีอยู่ไกลมาก เราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ตอบแทนพี่ทีเมื่อไหร่ ตอนเราไปกรุงเทพคราวก่อนโน้น พี่ทีเทคแคร์เราเป็นอย่างดี ขับรถพาเราไปโน่นไปนี่ แต่ยังดีที่เราเจอนาย ณ เวลานี้ ถือซะว่าการที่เราเทคแคร์นาย ก็เหมือนกับว่าเราได้เทคแคร์พี่ทีไปในตัวนะ " ผมอธิบายเหตุผลเพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความสบายใจ


"โอเค" ทอยตอบตกลง


ในเวลาเดียวกัน ทอยทำท่ากวักมือเหมือนจะเรียกใคร


"พี่ป้อง ไม่นึกจะเจอกันที่นี่ มาซื้อของหรือว่ามาทำอะไรครับ?" ทอยทักทายฝ่ายตรงข้าม

ผมนั่งอยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับทอย (นั่งหันหลังให้คนที่ทอยกำลังทักทาย) พอได้ยินชื่อของคนที่ทอยกำลังทัก ผมถึงกับสะดุ้งโหยง (ก็ชื่อดันเป็นชื่อเดียวกับใครคนนั้น จะไม่สะดุ้งได้ยังไง)

"หวังว่าคงไม่ใช่เขาคนนั้นนะ" ผมได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ โดยไม่กล้าหันไปดู

"อ้าว… ทอย มาดูหนังหรือเปล่า?" เจ้าของเสียงพูดกับทอย พร้อมกันนั่งลงที่โต๊ะติดกัน

"เปล่า ฝนตกเลยเข้ามาหลบฝนที่นี่ แล้วพี่ละครับ?" ทอยพูดอย่างเป็นมิตร

“พี่มาดูหนัง กว่าหนังจะฉายตั้งชั่วโมงกว่า เลยมาหาอะไรกินก่อน" ชายหนุ่มเจ้าเสียงตอบ

ผมได้หันหน้าไปดูหน้าคู่สนทนาของทอย โอ้… คุณพระช่วย ใช่เขาจริงๆด้วย ทำไมโลกมันช่างกลมขนาดนี้หนอ ผู้คนมีเป็นร้อยล้านคนไม่ยักเจอ ดันมาเจอคนที่ตรูไม่อยากจะเจอ(หรือเปล่าน๊า??)

"ฟาง… นี่… ทอย หลานรหัสเรา และเป็นน้องโรงเรียนเราด้วย จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน นี่.. พี่ฟาง อยู่คณะบริหารฯ" ป้องแนะนำทอยและกองฟางให้รู้จักกัน


"ยินดีค่ะ น้องทอย ทั้งลุงรหัสหลานรหัส หล่อเท่ห์สุดๆ โรงเรียนนี้คงมีแต่คนหล่อๆทั้งนั้นเลย" กองฟางเยินยอสองหนุ่ม (อ้อล้อตัวแม่จริงๆ นังคนนี้)

"พี่ป้อง… พี่ฟาง… นี่… กันต์ เรียนปีเดียวกับพวกพี่ แต่อายุรุ่นเดียวกับผม รู้จักกันที่กรุงเทพเมื่อปีที่แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันอีกครั้งที่นี่" ทอยแนะนำให้ผมรู้จักกับป้องและกองฟาง

"เหรอ.. " ป้องยังคงทำสีหน้าเฉยๆ ส่วนผมก็ตีสีหน้าเฉยๆเข้าสู้ฝ่ายตรงข้าม

"เมื่อกี้เพิ่งจะเดินชนกัน ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีก โลกกลมจริงๆ กันต์เรียนอยู่เมเจอร์ไหน?" กองฟางส่งยิ้มทักทายผม (ทำตัวเหมือนนางงามมิตรภาพเลยนะยะหล่อน)

"เมเจอร์…. " ผมตอบอย่างสั้นๆ

"ที่แท้ก็เมเจอร์เดียวกับมิ้นต์ ตอนปี1 เราเคยอยู่หอเดียวห้องเดียวกับมิ้นต์ พอขึ้นปี2 ย้ายออกมาอยู่หอนอก เลยไม่ได้เจอมิ้นต์อีกเลย มิ้นต์เป็นอย่างไรบ้าง? เรียนเมเจอร์เดียวคงได้เจอกันบ่อย" กองฟางคุยกับผมอย่างเป็นมิตร (แต่ในใจตรูหาเป็นมิตรด้วยไม่ ถ้าไม่มีเรื่องป้องมาเกี่ยวข้อง ตรูคงจะเป็นมิตรกับนาง เพราะเท่าที่ดู นางก็เป็นคนดี+มีมิตรไมตรีมากคนหนึ่ง)

"มันก็สบายดีนะ พูดมากเป็นโทรโข่งเหมือนเดิม" ผมแอบเม้าท์เพื่อนร่วมสาขาเดียวกัน

"อย่างมิ้นต์ เขาต้องเรียกว่าเป็นคนใช้วาทะศิลป์เก่ง ปากเป็นเอกเลขเป็นโท เห็นเขาเคยบอกว่า การพูดเป็นการออกกำลังทางปากอย่างหนึ่ง" กองฟางพูดสนับสนุนอย่างอารมณ์ดี

ผมคุยกับกองฟาง ส่วนป้องคุยกับทอยเรื่องสัพเพเหระต่างๆอย่างออกรส

"พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า? จะได้ชวนไปก๊งเหล้า" ป้องเอ่ยถามทอย

"ไม่ว่าง พรุ่งนี้ผมจะไปลำพูนกับกันต์แต่เช้า" ทอยตอบไปตามตรง

"พอได้มีโอกาสเจอกัน คราวนี้ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เชียวนะ แต่ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าก็ได้ ยังมีเวลาชนแก้วกันอีกเยอะ" ป้องมองผมและทอย ด้วยสายตาที่รู้เท่าทัน

"ดีแล้วที่ไม่ว่าง ป้องนี่.. ชอบชวนน้องทอยไปเสียคนอยู่เรื่อย จะกินเหล้าไปทำไมเยอะแยะ มันไม่เกิดประโยชน์เลย" กองฟางต่อว่าป้อง

เมื่อกินอาหารเสร็จเรียบร้อย พวกเรานั่งคุยกันได้ซักพักหนึ่ง ป้องและกองฟางขอตัวแยกออกไปก่อน เพราะหนังใกล้จะฉาย

การได้เจอป้องในครั้งนี้ ผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน ดีขึ้นในด้านของการวางตัวและการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ให้พริ้วไหวแตกกระเจิงไปกับภาพองค์ประกอบที่เห็น
วินาทีแรกที่ป้องเดินเข้ามาคุยกับทอย ผมอาจจะรู้สึกสั่นๆตื่นเต้นปนจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอผ่านไปไม่กี่นาที ก็สามารถปรับอารมณ์ตัวเองเข้าสู่สภาวะปรกติได้ไม่ยาก

………………………………………………………………………………………………………………………………

ทอยนั่งเล่นวีดีโอเกมส์อย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนภาพทอยคนเดิมที่ผมเห็นในครั้งก่อน กลับมาปรากฏให้เห็นอีกรอบ แทบไม่เหลือเค้าภาพของทอยที่ผมเจอในกาดสวนแก้วอีกต่อไป(ภาพของทอยที่ผมเจอในกาดสวนแก้ว หน้าตาเหมือนคนเบื่อโลกยังไงไม่รู้)

ทอยยังคงเล่นวีโอเกมส์อย่างสนุกสนานจนดึกดื่น ส่วนผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ จนเผลอตื่นโดยบังเอิญ ผมค่อยๆลืมตา เพื่อมองดูนาฬิกาแขวนบนฝาผนังที่แขวนอยู่เหนือทีวี ว่ากี่โมงแล้ว

เมื่อเห็นภาพในทีวี ผมตาสว่างทันทีจนไม่ต้องพึ่งกาแฟแต่อย่างใด ภาพในทีวีเป็นภาพหนังโป๊ชายกับชาย จากหนึ่งในม้วนวีดีโอหนังโป๊เกย์ของผม ที่วางในลิ้นชักตรงชั้นวางทีวี (ตอนแรกนึกว่าทอยคงสนใจแต่ม้วนวีดีโอเกมส์ซึ่งอยู่ลิ้นชักข้างบนอย่างเดียว ผมเลยไม่ได้ใส่ใจม้วนวีดีโอที่เป็นหนังเท่าไหร่ งานเข้าอีกแล้วตรู!!!)

ทอยนั่งดูพร้อมกับใช้มือลูบเป้ากางเกงของตัวเอง

"ฮัดเช้ย…. " ผมเผลอจามออกมาอย่างลืมตัว และแกล้งทำเป็นหลับต่อไป เพื่อไม่ให้ไก่ตื่น

เมื่อได้ยินเสียงจามของผม ทอยรีบปิดทีวีทันที พร้อมกับเอาม้วนวีดีโอออกจากเครื่องเล่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นปิดไฟเพื่อเข้านอน

ทอยล้มตัวลงนอนใกล้กับผม ภาพของทอยลูบเป้ากางเกงเมื่อซักครู่ ช่างทำให้ผมเกิดอารมณ์ทางเพศยิ่งนัก ผมพยายามควบคุมสติของตนเองไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านี้ สำหรับทอยแล้ว ผมไม่เคยคิดเรื่องใต้สะดือกับทอยเลย อาจเพราะ ทอยเป็นน้องของพี่ที ซึ่งผมกับพี่ทีเคยมีอะไรต่อมิอะไรกันมาก่อน อีกอย่างผมยังไม่แน่ใจนักว่า ทอยรู้เรื่องระหว่างผมกับพี่ทีหรือไม่? (ไม่รู้สิ มันเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ออก ยังไงคุณผู้อ่านช่วยกันเดาและวิเคราะห์ความรู้สึกแทนผมด้วยนะครับ)

ในที่สุดผมก็พ่ายแพ้ต่อไฟตัณหาราคะของตัวเอง ผมแกล้งนอนพลิกตัวแล้วเอาแขนไปกอดทอย (ลองหยั่งเชิงดูก่อนว่า ทอยเล่นด้วยหรือเปล่า? ถ้าเกิดไม่เล่นด้วย ผมก็ไม่ดันทุรังบังคับฝ่าฝืน คงต้องแอบไปชักว่าวเอาเองในห้องน้ำ

ซักพักทอยใช้มือลูบตรงแขนผมอย่างเบาๆ (ได้ไปต่อแล้วตรู 555+ ) เมื่อฝ่ายตรงข้ามให้สัญญาณแบบนั้น ผมก็ใส่เกียร์เดินหน้าต่อไป

ผมใช้มือลูบผ่านบริเวณหน้าท้องของทอย ลงไปสู่หัวหน่าว ตรงนี้นิ้วของผมสามารถสัมผัสกับหัวด้ามปืนที่แข็งโด่ของทอย อย่างจังๆ

ผมสอดมือผ่านกางเกงเข้าไปยังกางเกงในของทอย เคของทอยแข็งโด่รอการนวดคลึงจากมือของผม

ผมใช้นิ้วมื้อเขี่ยขนหะมอยของทอย ที่ขึ้นประปราย เล่นอย่างค่อยๆ ทอยพลิกตัวจากท่านอนตะแคงหันหลังให้ผม มาเป็นท่านอนหงาย ผมได้จังหวะ เลยใช้มือถอดเสื้อพร้อมกางเกงของทอยออกจนหมด รวมทั้งของผมเองอีกด้วย

เราทั้งสองอยู่ในสภาพล่อนจ้อนด้วยกันทั้งคู่ ทอยยังคงนอนนิ่งเฉย ส่วนผมนั้นเริ่มขึ้นไปนอนทับบนตัวทอย ผมค่อยๆใช้จมูกไซร้ตามซอกหู ต้นคอของทอยอย่างทะนุถนอม

เสียงครางอย่างเบาๆของทอย ดังออกมาเกือบทุกวินาที ผมลากลิ้นยาวลงมาเลียรอบๆหัวนมทั้งสองข้างของทอย ส่วนมือก็ลูบคลำไข่นกกระทา 2 ฟองของทอยเล่นอย่างเมามันส์

เมื่อเลียหัวนมจนหนำใจแล้ว ผมก้มลงไปที่ลูกกระโปกของทอย พร้อมใช้ลิ้นเลียวนไปวนมา เสียงครางของทอยเริ่มดังขึ้นและลากยาวมากขึ้น

ผมใช้ปลายจมูกสูดดมจากลูกกระโปกขึ้นไปสู่ลำแท่งทวนอันแข็งโด่ของทอย แท่งทวนของทอย ตั้งตรงมีขนาดใหญ่และยาวมาก เมื่อเทียบกับของพี่ที (แต่ยังไม่ถึงขนาดของแซยิด) หัวเปิดบาน แถมมีกลิ่นสาบเพิ่มอารมณ์ทางเพศนิดๆ

ก่อนจะถึงบริเวณรอยหนักตรงส่วนหัวกระดอ ผมใช้ลิ้นเลียนรอบๆเส้นแบ่งบนหัวรอยหยัก ทอยเริ่มแกว่งตัวอย่างพริ้วไป และใช้มือทั้งทั้งสองข้างจิกเส้นผมบนศรีษะของผม

ผมอ้าปากครอบแท่งทวนของทอย จนมิดลำ ผมรู้สึกจุกบริเวณลำคออย่างบอกไม่ถูก แท่งทวนของทอยช่างใหญ่คับปากผมจริงๆ ผมใช้ริมฝีปากหนีบลำแท่งทวนอย่างแน่น จากนั้นก็ชักขึ้นๆลงๆ

เสียงร้องครางของทอยดังออกมาไม่ขาดปาก ซักพักทอยพยายามใช้มือทั้งสองข้างดึงหัวผมออกห่างจากแท่งทวนของตัวเอง

"เราเอาตูดนายได้ไหม?" ทอยถามผม

ผมพยักหน้า พร้อมลุกไปหยิบเจลหล่อลื่น มาชะโลมทั่วลำทวนของทอย และทั่วผนังทางเข้าถ้ำทองของผม

"โอ๊ย… เบาๆหน่อยซิ ค่อยๆเสียบช้าๆ อย่าเร่งรีบ" ผมร้องเสียงหลง (เท่าที่ดูวิธีการเสียบ สงสัยทอยคงยังไม่เคยเอาทั้งประตูหน้าและหลังมาก่อน ถึงได้เสียบพรวดพราดขาดจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบาอย่างนี้)

ทอยค่อยๆจับแท่งทวนอันแข็งปั๋ง จ่อปากถ้ำทองของผม โดยดันเข้าไปทีละนิดละหน่อย ซักพักพอแท่งทวนเข้าไปในถ้ำทองใกล้จะมิดลำแล้ว ทอยก็เริ่มกระเด้าเข้าๆออกๆอย่างเป็นจังหวะ

ผมรู้สึกจุกไปทั่วท้องน้อย เนื่องจากขนาดเคของทอย ใหญ่จริงๆ เมื่อผนังถ้ำทองของผมเริ่มปรับตัวต่อขนาดเคของทอยๆได้แล้ว ความจุก ความเจ็บก็เริ่มกลับกลายมาเป็นความเสียวแทน

ทอยกระเด้ากระดอเข้าๆออกๆในรูดากของผมอย่างติดลมบน เสียงที่ครางออกมาบ่งบอกได้ถึงความเสียว ไม่เกิน 15 นาที น้ำกำหนัดอุ่นๆหนืดๆเหนียวๆของทอยก็แตกในรูดากของผม

หลังจากทอยถอดแท่งทวนออกจากรูดากของผมๆรู้สึกเจ็บแปล็บขึ้นมา เพราะขนาดที่ใหญ่ของแท่งทวน

ซักพักผมขอร้องให้ทอยช่วยผมให้ถึงจุดสุดยอด โดยทอยเลียหัวนมของผม ส่วนผมใช้มือข้างขวาสาวว่าวให้ตัวเอง ส่วนมือข้างซ้ายก็จับแท่งทวนของทอยเล่น ไม่นาน น้ำอสุจิของผมก็พุ่งกระจายออกมา
ทอยเล่าให้ผมฟัง ทอยรู้มาตั้งนานแล้วว่า พี่ทีเป็นเกย์ โดยเฉพาะตอนที่ผมมีอะไรกับพี่ทีในเรือนแพคืนนั้น ทอยเห็นโดยบังเอิญ ทอยตื่นกลางดึกมาเข้าห้องน้ำ แล้วประตูห้องนอนของผมกับพี่ทีปิดไม่สนิท เปิดแง้มบานไว้ ประกอบกับเสียงร้องครวญครางของผมค่อนข้างดัง เลยดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของทอย ทำให้ทอยแอบย่องไปแอบดูตามรอยแง้มของบานประตู

การมีเพศสัมพันธ์กับทอย ช่างเสียวและจุกปนเจ็บ ครบเครื่องจริงๆ นับจากคืนนั้น ผมกับทอยก็เล่นเสียวกันเป็นประจำ

ส่วนบอล หลังจากสอบได้ทุนนักศึกษาแลกเปลี่ยนไทย-จีน ก็ยุ่งกับการเตรียมตัวต่างๆไม่ว่าจะเป็นเอกสารและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ผมเองได้เจอกับเขาแค่ 2-3 ครั้ง ก่อนเขาจะไปจีน (บอลไปจีนก่อนสอบปลายภาคประมาณ 2 อาทิตย์ โดยเขาขออนุญาตกับทางมหาลัย สอบปลายภาคล่วงหน้าก่อนกำหนด)

บอลต้องไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่จีน ระยะเวลา 1 ปี (เขาไปตอนผมอยู่ปี 3 จะขึ้นเทอม 2 ตอนเขากลับมาผมก็อยู่ปี 4 จะขึ้นเทอม 2)

………………………………………………………………………….............................


ปี3 เทอม2 ผมยังคงผูกปิ่นโตเป็นขาประจำของทอย เพราะเทอมนี้ ผมต้องเรียนหนักมากกว่าปรกติ ชนิดลงทะเบียนเรียนเต็มวัน (จันทร์-ศุกร์)ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น เพื่อชดเชยช่วงปี2 เทอม1 ที่ผมได้ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนข้ามมหาลัย (ถ้าขืนไม่กระหน่ำลงทะเบียนแบบนี้ มีหวังไม่ได้จบ 4 ปี แน่ๆ) เลยทำให้ไม่มีเวลาว่างออกไปไหนมาไหนหรือหมกมุ่นแต่เรื่องใต้สะดือเหมือนเมื่อก่อน


……………………………………………………………………............................


ปีการศึกษา 2540

ปีนี้เป็นปีการศึกษาสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ในรั้วมหาลัยแห่งนี้

4 ปี ช่างผ่านไปไวจริงๆ ตอนเข้ามาเป็นนักศึกษาปี1 ผมเคยถอนหายใจว่า จะเรียนไหวไหมนี่? อีกตั้ง 4 ปี นะ หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหนอ.. ?

แต่ในที่สุด ผมก็ฝ่าฟันมาจนถึงจุดนี้ ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ถ้าเรามีความพยายามตั้งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคข้อผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวง ความสำเร็จจะเข้ามาหาเราได้ไม่ยาก


สำหรับเรื่องประสบกามของผมในชั้นปี4 นั้น ไม่ค่อยมีอะไรโลดโผนตื่นเต้นหรือน่าสนใจเหมือนแต่ละชั้นปีที่ผ่านมา ออกจะน่าเบื่อ เนือยๆด้วยซ้ำ


เริ่มจากเทอม1 ช่วงต้น-กลางเทอม ผมยังคงผูกปิ่นโตเจ้าประจำกับทอยอยู่เหมือนเดิม แต่พอมาถึงช่วงกลางเทอม ต่างฝ่ายต่างมีภาระกิจจะต้องรับผิดชอบสะสาง เลยไม่มีเวลาว่างทั้งคู่ หลังจากนั้น ทอยเริ่มหายหน้าหายตาไป มาทราบภายหลังได้ข่าวว่า ทอยมีแฟน(ผู้หญิง)เป็นนักศึกษาชั้นปีเดียวกัน แถมยังเป็นดาวคณะผมอีกด้วย ซึ่งผมรู้สึกยินดีกับทอยอย่างยิ่งที่เห็นทอยมีความสุข มีคนรู้ใจเคียงข้าง

เทอม2 ต้นเทอม-กลางเทอม ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อ เพราะตอนนั้นมีซาวน่าเกย์เพิ่งเปิดใหม่แห่งแรกในเชียงใหม่ คือ "เฮ้าส์ออฟเมล" ทุกครั้งที่ผมได้เข้าไปใช้บริการ ก็ได้ประลองวิทยายุทธกำลังภายในใต้สะดือกับบรรดาหนุ่มหล่อที่ไปใช้บริการที่นั่น (ไม่ได้มีอะไรหวือหวาน่าตื่นเต้นเร้าใจชวนให้กระเจี๊ยวโด่เท่าไหร่ เลยไม่ขอเล่า แบบถือคติที่ว่าเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ)

ช่วงปลายเทอม ยิ่งไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องเรียน เพราะเป็นเทอมสุดท้ายด้วย บรรดาเพื่อนๆในสาขาวิชาเดียวกับผม ต่างมัวแต่ยุ่งกับการสมัครเรียนต่อปริญญาโท หรือไม่ก็สมัครงานตามบริษัทและหน่วยงานต่างๆ ส่วนตัวผมนั้น ชิวส์ๆ สบายๆ ไม่ได้ส่งใบสมัครไปยังที่ไหนทั้งนั้น

ทำไม? เพราะอะไร? ถ้าอยากรู้คำตอบ ต้องติดตามภาค2 นะครับ (แอบโฆษณาอย่างเนียนๆ)


......................................................


ของแถมเล็กๆน้อยๆ

-ป้อง = ตั้งแต่เจอกันโดยบังเอิญที่กาดสวนแก้วคราวนั้น ผมก็ไม่ได้เจอกับป้องอีกเลย

-บอล = หลังจากกลับมาจากจีน ผมไม่ติดต่อกับบอล เพราะน้องชายของบอลได้ย้ายไปอยู่หอพักอีกแห่งหนึ่ง พอบอลกลับมาเลยต้องย้ายตาม ยังดีที่ผมพอมีโอกาสได้เจอบอล ถึงแม้จะแค่ครั้งเดียวก็ตาม(เจอกันโดยบังเอิญที่หอสมุด ก่อนวันสอบปลายภาควันสุดท้าย)

-ภีม = ผมมีโอกาสได้สาน(เพศ)สัมพันธ์กับภีมอีกรอบ ตอนภีมขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่กับครอบครัวช่วงฤดูหนาว (เวลานั้นบอลยังอยู่ที่จีน) และนัดเจอกับผม

-พี่ต่อ = ตั้งแต่เหตุการณ์ในโรงอาหารครั้งนั้น ผมกับพี่ต่อก็ไม่มองหน้ากันเลยจนกระทั่งพี่ต่อเรียนจบ

-พี่ที = หลังจากพี่ทีไปอยู่อเมริกากับพ่อแม่แล้ว ผมขาดการติดต่อกับพี่ทีไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งได้อีเมลของพี่ทีจากทอย(สมัยนั้นอีเมลกำลังเป็นของใหม่ และได้รับความนิยมอย่างมาก) ผมเลยได้มีโอกาสติดต่อกับพี่ทีอีกครั้งทางอีเมล

-ไอ้พัฒน์ = นับตั้งแต่ที่มันมาเยี่ยมผมที่เชียงใหม่คราวนั้น ผมยังติดต่อกับมันทางโทรศัพท์ 3-4 ครั้ง หลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อกัน อาจเป็นเพราะต่างคนต่างมีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งนั้น


.............................................................


ขอขอบพระคุณ คุณผู้อ่านทุกท่านที่คอยติดตามและให้กำลังกันมาตั้งแต่ต้นเรื่อง อย่าลืมติดตามภาค2 นะครับ




"เรื่องเล่าคาวน้ำกาม" 10

"เปล่า เราแค่บอกภีมว่า นายเรียนอยู่คณะบริหารฯ ภีมเขาอยากเรียนคณะบัญชีกับบริหารฯมากๆ เออ… เรายังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จักภีมเลย ตอนที่แนะนำให้เขารู้จักนายๆก็กำลังนั่งสมาธิอยู่ นี่… ภีม นั่น… น้องสาวภีมชื่อ พริ้มเพรา "
"สวัสดีครับ" บอลทักทาย ภีมและพริ้มเพรา

"กันต์กับบอลเรียนอยู่มหาลัยที่ไหน?" ภีมถามด้วยความอยากรู้

"เชียงใหม่” บอลตอบสั้นๆ

" เชียงใหม่หรือครับ ผมอยากไปเที่ยวเชียงใหม่ เป็นสถานที่ที่อยากไปมากที่สุดในเมืองไทย ภาคเหนือยังไม่เคยไป ส่วนใหญ่ไปแต่ภาคใต้และจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพเท่านั้น กันต์กับบอลไม่ได้เรียนอยู่คณะเดียวกัน?" พอพูดจบ ภีมทำหน้าสงสัย

"เรียนอยู่คนละคณะและคนละชั้นปีด้วย เราจะขึ้นปี 3 ส่วนบอลจะขึ้นปี 2 " ผมตอบคำถามอย่างกระจ่างชัด

"ครับ" ภีมทำท่าครุ่นคิด

รถทัวร์ได้พากลุ่มของพวกเรามายังโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกัลกัตต้า หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าทัวร์บอกให้ลูกทัวร์ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัยเป็นเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นให้เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม

ผมพักอยู่ห้องเดียวกับบอล ส่วนภีมโชคดีได้พักอยู่คนเดียว เพราะพ่อกับแม่ของภีมพักอยู่ห้องเดียวกัน และยายพักอยู่ห้องเดียวกับพริ้มเพรา

"เราว่านายภีมต้องมีรสนิยมทางเพศแบบเดียวพวกเราแน่ๆ เท่าที่ดูอากัปกริยาท่าทาง มันบ่งบอกว่าใช่ โดยเฉพาะเวลาเขาคุยกับนายนี่ หูตาแพรวพราวเชียว สงสัยแอบชอบนายแน่ๆ" บอลเปิดประเด็นในการสนทนาขึ้นมา

"เหรอ.. " ผมทำเนียนรับฟังความเห็นจากฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากเกิดอาการวัวสันหลังหวะนิดๆ

"จริงนะ เรารู้สึกอย่างนั้น ตอนคุยกันบนรถ เขาตั้งหน้าตั้งตาคุยกับนายท่าเดียว ไม่ค่อยสนใจอยากคุยกับเราเท่าไหร่" บอลวิเคราะห์จากสถานการณ์

"คิดมากหรือเปล่า เขาคงเห็นว่าตอนนั้นนายหลับอยู่เลยไม่อยากกวนมั้ง" ผมพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อให้สถานการณ์เป็นแบบธรรมดามากที่สุดเท่าที่จะมากได้

"จะยังไงก็แล้วแต่ หวังว่าเขาคงพอเดาออกนะว่า นายกับเรามีอะไรที่พิเศษนอกเหนือจากเพื่อน" บอลหันมามองผม

"หึงเราเหรอ?" ผมทำหน้าเป็น พร้อมเอื้อมมือไปลูบเป้ากางเกงบอล

"ใครหึงนาย? หลงตัวเองหรือเปล่า? มีอารมณ์อีกแล้ว เซ็กส์จัดจริงๆนะนาย" บอลหน้าแดง

"แน่ใจนะว่าไม่หึง คราวหน้าถ้าภีมชวนเราคุยอีก เราจะคุยให้นานๆเลยคอยดู" ผมพูดยั่วบอลเล่นๆ พร้อมกับใช้มือเตรียมถลกกางเกงของบอล

"อยากทำอะไรก็ทำตามใจเลยนะ อ้าว… มาถอดกางเกงเราทำไม? ทำไมไม่ไปหานายภีมโน่น?" บอลเริ่มงอนนิดๆ พร้อมยกกางเกงขึ้นมาติดกระดุมอย่างมิดชิด

"พูดเองนะ เดี๋ยวเราไปเคาะห้องภีม ขอนอนกับเขาคืนนี้เลยดีไหม? เห็นว่าพักอยู่คนเดียวด้วยซิ" ผมยังคงยั่วโมโหบอลเล่น

"เชิญตามสบาย แล้วอย่ามาแตะเนื้อต้องตัวเราอีกนะ เราไม่ชอบคนคนสำส่อน" บอลชักจะงอนจริงๆแล้ว

ผมเห็นท่าไม่ได้การ เลยรีบเข้าไปโอบกอดบอล พร้อมกระซิบข้างหู "ล้อเล่นแค่นี้ ทำน้อยใจไปได้ เราเป็นคนชวนนายมาเที่ยว ยังไงเราก็ต้องดูแลและให้ความสำคัญกับนายมากเป็นพิเศษ ต่อไปนี้เราจะไม่ล้อเล่นกับนายเรื่องแบบนี้อีก ขอโทษนะ หายงอนหรือยังเอ่ย?"

รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของบอล ผมเริ่มใช้ริมฝีปากไซร้ทั่วบริเวณต้นคอของบอล ตัวบอลเริ่มอ่อนไหวตามจังหวะการไซร้ของผม

ผมจัดการถอดเสื้อผ้าของบอลและของผมออกจนหมด เราทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ผมก้มลงดูดเลียหัวนมสีชมพูทั้งสองข้างของบอลและใช้มืออีกข้างสาวว่าวให้บอล กระจู๋ของบอลเริ่มแข็งโด่พร้อมออกศึก ผมค่อยลากจมูกลงมาเล้าโลมขนหะมอยอันพลอมแพลม จากนั้นก็ใช้ลิ้นลากยาวบนท่อนเอ็นอันแสนโอชาของบอล

เสียงครางเบาๆของบอลดังออกมาเป็นระยะๆระยะๆ ผมรีบแยกขาบอลออก พร้อมสอดใส่แท่งตอปิโดของผมตรงกลางขาหนีบใต้ก้นของบอล แล้วกดขาหนีบของบอลให้บีบรัดแท่งตอปิโดของผม (สาเหตุที่ต้องร่วมรักวิธีนี้ เพราะบอลยังไม่พร้อมที่จะให้ผมทะลุทะลวงประตูหลัง เขากลัวเจ็บ)

ผมกระเด้าแท่งตอปิโดเข้าๆออกๆตรงขาหนีบของบอล พร้อมกับสาวว่าวให้บอลอย่างมันส์มือ

อีกไม่กี่อึดใจ กระจู๋ของบอลได้พ่นน้ำกำหนัดออกมาเลอะเต็มมือผม 2-3นาทีต่อมาน้ำอสุจิก็พุ่งออกมาจากปากแท่งตอปิโดของผมเลอะเต็มหว่างขาบอล

เราทั้งสองเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน ต่างคนต่างถูเนื้อตัวให้อีกฝ่ายหนึ่ง มันช่างสุขและเสียวไปพร้อมๆกัน

……………………………………………………………………………………………


คณะทัวร์ออกเดินทางจากเมืองกัลกัตต้า มายังเมืองคยา ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง


ที่พักในเมืองคยา อาจจะพิเศษกว่าที่อื่นๆ เพราะเป็นเขตพุทธสถาน (ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงแรมและที่พักในรูปแบบต่างๆให้เลือกเยอะแยะเหมือนในปัจจุบัน) ดังนั้นที่พักที่ดีที่สุดและสะอาดที่สุดคือ วัดไทย โดยจะพักค้างคืนที่เมืองนี้เพียง 1 คืน เท่านั้น

ภายในวัดไทย ที่พักจะแยกชาย-หญิง โดยชาย-หญิงไม่สามารถพักในห้องเดียวกันได้ กลุ่มลูกทัวร์ที่เป็นผู้ชาย นอนศาลาวัด ส่วนกลุ่มลูกทัวร์ที่เป็นผู้หญิง นอนเรือนพัก

หลังจากเมืองคยา ก็เดินทางต่อไปยังเมืองพาราณาสี ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆ พวกเราจะพักอยู่เมืองพาราณาสีนานกว่าที่อื่น โดยจะพักอยู่ 4 วัน 3 คืน


"เมืองนี้ฝุ่นโคตรเยอะ ทั้งเนื้อทั้งตัวชะโลมไปด้วยฝุ่นหมด เราขอตัวไปอาบน้ำก่อน นายลองถามน้านิดว่า มียาแก้ไข้แก้ปวดอะไรบ้าง ตอนที่อยู่ดอนเมืองเราเห็นน้านิดถือกล่องยาสามัญประจำบ้านมาด้วย เรารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก แถมยังคัดจมูกและจามอีกด้วย สงสัยจะแพ้ฝุ่นหรือไม่ก็แพ้อากาศ" บอลอธิบายถึงอาการไม่สบายตัว

"นายรีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวเราจะไปเอายาจากน้านิดมาให้" ผมรีบวิ่งไปยังห้องของหัวหน้าทัวร์
ด้ยามาแล้ว น้านิดบอกว่านายต้องแพ้ฝุ่นแน่นอน ก่อนหน้านี้ลูกทัวร์ของน้านิดหลายคนก็มีอาการคล้ายกับนาย น้านิดยังฝากยาดม ยาแก้แพ้ และผ้าสำหรับปิดจมูกมาให้นายด้วย รีบกินยาแล้วนอนพักซะ อาการจะได้ดีขึ้น ถ้านายอยากได้อะไรก็บอกเรา" ผมโอบกอดบอล พร้อมเอามือลูบแผ่นหลังบอลเบาๆ

หลังจากทานยาเรียบร้อย ซักพักบอลก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน


"ยังไม่ถึง 1 ทุ่ม ออกไปเดินเล่นดีกว่า" ผมมองนาฬิกาข้อมือ


"ถ้านายตื่นมาแล้วไม่เจอเรา ไม่ต้องตกใจนะ เราออกไปเดินเล่นข้างนอกและอาจจะแวะไปคุยกับน้านิด" ผมเขียนโน๊ตทิ้งไว้บนโต๊ะที่อยู่ติดหัวเตียงนอน
หน้าโรงแรมจะเป็นถนนทางเดินเลียบแม่น้ำคงคา ขนานไปกับตลิ่งคอนกรีตขั้นบันไดลงไปสู่ท่าน้ำแม่น้ำคงคา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาแสวงบุญได้ลงไปอาบน้ำในแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์
ขณะที่ผมกำลังเดินลงบันไดตรงท่าน้ำ เพื่อชมความงามของทิวทัศน์จากริมฝั่งคงคามหานที ผมได้ยินเสียงผู้ชายวัยกลางคน อายุประมาณ 40 กว่าปี พูดภาษาไทยว่า…
"แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนที่นี่เชื่อว่าไหลมาจากสรวงสวรรค์ ตามหลักความเชื่อในศาสนาพราหมณ์กล่าวว่า ถ้าได้มาอาบ มาดื่มกินน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะเป็นมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างมาก"

"เสียงนี้คุ้นหูจังเลย" ผมพึมพำอยู่ในใจ จากนั้นจึงหันหน้าไปดูหน้าเจ้าของเสียง

"ที่แท้ลุงภูนั่นเอง ผมนึกว่าเสียงใคร" ผมพูดทักทายพ่อของภีม ลุงภูกับภีม นั่งอยู่บนขั้นบันไดท่าน้ำริมตลิ่ง โดยลุง ภูกำลังเล่าความเป็นมาของแม่น้ำคงคาให้ภีมฟัง

"ไปไงมาไงพ่อหนุ่ม? ออกมาคนเดียวหรือ?" ลุงภูเอ่ยถามผม

"ครับ เพื่อนไม่ค่อยสบาย เห็นว่าแพ้ฝุ่น พอกินยาเสร็จก็หลับไป"

"เจ้าพริ้มก็แพ้ฝุ่นเหมือนกัน เพิ่งให้กินยาไป ตอนนี้สงสัยคงหลับปุ๋ย ส่วนแม่เจ้าภีมเห็นบ่นว่าคันไปทั้งตัว เมืองนี้ฝุ่นเยอะจริงๆ ยังไงระวังตัวหน่อยนะพ่อหนุ่ม ไม่ใช่แค่ฝุ่นอย่างเดียว ผู้คนด้วย คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่ใช่แค่ที่นี่เท่านั้น ทุกหนทุกแห่งรวมถึงบ้านเราด้วย ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป" ลุงภูพูดให้แง่คิด

"กันต์ เรียนเก่งมากๆนะ พ่อ สอบเทียบได้ตั้งแต่ม.4 แถมยังเอ็นฯติดด้วย" ภีมยอผมให้พ่อของเขาฟัง

"ไม่ถึงกับเก่งหรอกครับ ผมว่าฟลุ๊คมากกว่า หรือไม่ก็จับจังหวะเลือกคณะที่คะแนนไม่เยอะและคนเลือกน้อย" ผมพูดอย่างถ่อมตัว

"ยังไงก็ถือว่าเก่งนะ พ่อหนุ่มเรียนอยู่ปีไหน?" ลุงภูถามผม

"จะขึ้นปี3 ครับ"

"อีกไม่กี่ปีก็ใกล้จบแล้วซิ อายุพอๆกับเจ้าภีม เจ้านี่หัวมันดีนะ แต่ขี้เกียจไปหน่อย หนังสือหนังหาไม่ยอมอ่าน วันๆเอาแต่เล่นวีดีโอเกมส์ อ่านหนังสือการ์ตูน" ลุงภูหันมามองหน้าภีม

"แต่ผมสอบผ่านทุกวิชาและเกรดเฉลี่ยไม่เคยได้ต่ำกว่า 2.8 ทุกเทอมนะจะบอกให้" ภีมพูดอย่างภาคภูมิใจในผลการเรียนของตัวเอง

"เดี๋ยวรอประกาศผลสอบเอ็นฯออกก่อนนะ พ่อคนเก่ง" ลุงภูพูดกับภีม จากนั้นหันหน้ามาพูดกับผมว่า "ลุงขอตัวไปดูเจ้าพริ้มและแม่เจ้าภีมก่อน พ่อหนุ่มคุยกับเจ้าภีมไปพลางๆ ลุงฝากเจ้าภีมด้วย คุยกันอยู่แถวนี้ อย่าออกไปไหนไกล ที่นี่ไม่ใช่บ้านเมืองเรา แปลกที่แปลกทาง เราไม่รู้ว่าอันตรายจะมาเมื่อไหร่ เวลาเกิดอะไรขึ้นมันลำบาก"

"ได้ครับ ลุงไม่ต้องห่วงเลยครับ" ผมรับคำ

"พ่อไปก่อน อย่าอยู่ข้างนอกโรงแรมนาน และห้ามออกไปไหนไกล ทำไมไม่ชวนพ่อหนุ่มขึ้นไปคุยที่ห้องภีม? สะดวกและปลอดภัยกว่า อีกอย่างข้างนอกฝุ่นก็เยอะด้วย" ลุงภูกำชับภีม

พอลุงภูเดินกลับเข้าไปในโรงแรมได้ซักพักใหญ่ๆ ภีมก็ชวนผมขึ้นไปคุยบนห้องของเขา (ซึ่งเขาพักอยู่คนเดียวเช่นเคย)

ผมนั่งคุยกับภีมอยู่ในห้อง โดยภีมนั่งอยู่บนเตียง ส่วนผมนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ตรงปลายเตียง

เราทั้งสองคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆนานา จนกระทั่งภีมเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาว่า…

"กันต์กับบอลเป็นแฟนกันหรือเปล่า?"

"อืม… ยังไงดีละ คือ เรากับบอลเป็นเพื่อนกัน แต่พิเศษกว่านิดหนึ่ง ไม่ถึงขนาดที่ใช้คำว่า แฟน เรียกกันและกัน เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย?" ผมพยายามตอบอย่างชัดเจนมากที่สุด

"เข้าใจระดับหนึ่ง กันต์กับบอลมีอะไรกันแล้วใช่ไหม?" ภีมถามอย่างตรงไปตรงมา

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

"อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าบอลไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ เวลาที่ผมทักทายก็ดูหน้างอ ถามคำตอบคำ ที่แท้หึงกันต์นี่เอง" ภีมใช้มือจับเป้ากางเกงตัวเอง เหมือนกำลังจะขยับขอบกางเกงในหรือไม่ก็เกากระจู๋

"ช่างสังเกตจริง เขาคงไม่หึงเราหรอก เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ พูดน้อยถามคำตอบคำ แล้วแต่อารมณ์" เวลานี้สมาธิของผมกระเจิงไปนิดหน่อย เพราะมัวแต่จ้องมองมือของภีมที่กำลังเกาตรงเป้ากางเกงอยู่

"เกาอยู่นั่นแหละ เป็นสังคังหรือเปล่า?" ผมพูดหยอกล้อ

"ดูให้หน่อยว่าใช่หรือเปล่า?" ภีมเปิดโอกาส

"ดูไม่เป็น เราไม่เคยเป็นนิ จะรู้ได้ไงว่าใช่หรือไม่" ผมเล่นเกมส์หมาหยอกไก่

"งั้นช่วยเกาให้ผมหน่อยได้เปล่า? เมื่อยมือ" ภีมถอดกางเกงพร้อมกับกางเกงในออกอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นด้ามปืนยาวหัวเปิดถอกของเต้ย ทำเอาผมขาดสติไปชั่วขณะ ผมไม่รอช้า เขยิบตัวพร้อมยื่นมือเข้าไปจับรูดขึ้นๆลงๆอย่างทันที ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้ขนหะมอยที่ขึ้นหนาบนหัวหน่าวของภีม

"ขอผมดูกระดอกันต์หน่อยซิ ครั้งก่อนยังเห็นไม่จุใจ" ภีมรีบใช้มือปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงยีนส์ของผมออกทันที
จากนั้นใช้มือค่อยๆถอกหนังหุ้มกระดอผมออกจนหัวเปิดออกมาจนหมด

"กระดอกันต์เวลาแข็งตัวขึ้นมา ใหญ่มหึมามากๆ" ภีมทำท่าตกใจ พร้อมทั้งอ้าปากเตรียมจะเขมือบกระดอผมอย่างหิวโหย

"อย่า.. ไม่เอา !! คือ วันนี้เรายังไม่ได้อาบน้ำทำความสะอาดเลย เราแค่ชักว่าวให้กันและกันอย่างเดียวก็พอนะ" ผมพูดอย่างขาดความมั่นใจ

"ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า.. เข้าใจพูดนะ อย่าว่าแต่กันต์เลยที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ผมเองก็ยังไม่ได้อาบเหมือนกัน ซกมกพอกัน กระดอเหม็นด้วยกันทั้งคู่" ภีมหัวเราะชอบใจใหญ่

ผมและภีมต่างสำเร็จความใคร่โดยใช้มือให้แก่กันและกัน จนน้ำอสุจิแตกคามือทั้งคู่

………………………………………………………………………………………………………….

ผมเดินกลับห้องพักอย่างอารมณ์ดี รู้สึกโล่งและเบาสบายตัวมาก (ได้เอาน้ำออกมาแล้วนิ จะไม่สบายตัวได้ไง)

ผมเปิดประตูห้องเข้ามา เห็นบอลนั่งสะลึมสะลืออยู่ที่ปลายเตียง

"ตื่นนานหรือยัง? รู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหม?" ผมถามบอลด้วยความห่วงใย

"ก่อนหน้าที่นายจะมาถึง ไม่กี่นาที พอได้นอนซับงีบแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้าง แล้วนายออกไปเดินเล่นที่ไหนมา? หรือไปคุยกับน้านิด?" บอลถามขึ้นมา

"ออกไปเดินเล่นที่ท่าน้ำหน้าโรงแรม บังเอิญเจอลุงภูและภีม เลยคุยกันตรงท่าน้ำ จากนั้นขึ้นห้องมาหานายนี่แหละ พริ้มเพราก็แพ้ฝุ่นเหมือนกับนาย อาการแบบเดียวกันเลย เห็นลุงภูให้กินยาและนอนพักผ่อนแล้ว" ผมเล่าให้บอลฟังว่าผมออกไปทำอะไรข้างนอกบ้าง (ซึ่งเล่าความจริง แต่เล่าไม่หมดแค่นั้น)

"เจอใครไม่เจอ เจอแต่นายภีมตลอดนะ" บอลกระแหนะกระแหนผม

"ไม่ได้เจอแค่ภีม เจอพ่อเขาด้วย ถ้าเราเจอแค่ภีมคนเดียว นายจะซักฟอกเรายังไง เรายอมทั้งนั้น นายก็รู้นี่ว่า พวกเรามาเที่ยวเป็นกลุ่ม ถ้าไม่ให้เจอพวกเดียวกันโดยบังเอิญ แล้วจะให้เจอใคร? อีกอย่างกลุ่มของพวกเรามีแต่ผู้สูงวัย รุ่นคุณลุง คุณป้า ไปจนถึงคุณตา คุณยาย ทั้งนั้น พวกนี้พอกลับโรงแรมแล้วมักจะไม่ค่อยออกไปเดินเที่ยวไหนไกลๆ ส่วนที่อายุน้อยก็มีแต่พวกเราและภีมกับพริ้มเพราเท่านั้น ที่พอมีเรี่ยวแรง ตลอดจนความคึกที่จะออกไปเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกได้" ผมพยายามหาเหตุผลมาอธิบายเพื่อให้บอลเข้าใจ (เรียกว่า "แถ" จะตรงตัวกว่านะ)

"ไม่ได้ว่าอะไรนี่" บอลพูดอย่างวางมาด


"ครับ ขอหอมหน่อยนะ" ผมหยอกเล่นบอลด้วยการหอมแก้ม


"เล่นอะไรนี่ ยังไม่ได้อาบน้ำใช่ไหม? ไปอาบน้ำเลยนะ ซกมกจริง" บอลพูดด้วยความเขินอาย


"ยังไม่แก่เลย ทำไมขี้บ่นจัง" ผมแอบบ่นพึมพำ


"พูดอะไร เราได้ยินนะ หาว่าเราขี้บ่นหรือ?" บอลทำเริ่มทำท่างอนใส่ผม


"เปล่า" ผมปฏิเสธอย่างหนักแน่น


"อย่ามาโกหก งั้นห้ามแตะต้องตัวเรา 1 อาทิตย์ เป็นการลงโทษ" บอลเตือนผม


" 1 อาทิตย์เองหรือ? น่าจะเป็น 1 เดือน นะ" ผมต่อปากต่อคำ


บอลค้อนใส่ผม พร้อมกับพูดออกมาว่า "ชอบละซิ ที่เราทำโทษไม่ให้แตะต้องตัวเรานานๆแบบนี้ จะได้มีโอกาสไปหานายภีม ให้ช่วยปลดปล่อยอารมณ์เปลี่ยวให้ใช่ไหม?"


"อยากให้นายทำให้มากกว่า ถึงแม้นายจะห้ามเราไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวนายเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ตาม แต่นายสามารถแตะเนื้อต้องตัวเราได้นิ ไม่ผิดกฏกติกาใดๆทั้งนั้น อย่างอนเลยนะ บอลจ๋า… เราแคร์ความรู้สึกของนายมากนะ" ผมออดอ้อนบอล ก่อนที่เรื่องเล็กๆจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา

"อย่ามากะล่อนใส่เรา นายนี่มันจริงๆเลย ไปอาบน้ำได้แล้วไป คราบขี้เกลือขึ้นเต็มไปหมด อึ๋ย.. หยะแหยง " หน้าบอลเริ่มจะแดงทีละนิด ด้วยความเขิน

"ไปก็ได้ ช่วยอาบน้ำให้หน่อยดิ ถูเจี๊ยวให้ด้วยนะ บอลจ๋า... " ผมทำท่าออดอ้อน

...........................................................


เมื่อเที่ยวชมเมืองพาราณาสีครบตามกำหนดการแล้ว หัวหน้าทัวร์ก็พาพวกเราออกเดินทางโดยการนั่งรถไฟไปเมืองนิวเดลลีซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอินเดีย

คณะทัวร์ของพวกเรานั่งรถไฟชั้น 1 ซึ่งแบ่งเป็นห้องๆ มีประตูและลงกลอนเพื่อความปลอดภัย แต่ละห้องสามารถจุผู้โดยสารได้ 4 คน

ผมกับบอล ได้ห้องเดียวกับภีมและลุงภู (เพราะเป็นผู้ชายด้วยกัน) ส่วนแม่ของภีม ยาย และพริ้มเพรา อยู่อีกห้องหนึ่งกับหัวหน้าทัวร์

ผมพยายามสังเกตว่า บนรถไฟ บอลไม่คุยกับภีมเลย แต่กับลุงภูกลับคุยกันค่อนข้างถูกคอ ขนาดภีมพยายามจะคุยด้วย บอลก็คุยแบบสั้นๆห้วนหรือถามคำตอบคำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไม และไม่อยากเดาด้วย(เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่า หลงตัวเอง) อีกทั้งไม่อยากจะถามบอล เพราะไม่อยากให้เรื่องราวไปกันใหญ่

หลังจากคืนนั้นที่เมืองพาราณาสี ผมไม่มีโอกาสได้อยู่ตามลำพังหรือคุยกันสองต่อสองกับภีมอีกเลย เพราะบอลตามประกบผมแจ จะแอบชะแว๊บไปไหนไม่ได้เลย

ยังดีที่ขากลับมาถึงสนามบินดอนเมือง ภีมได้แอบจดเบอร์โทรศัพท์และเพจใส่ในมือของผม(แอบเอาให้ผม ตอนที่บอลไปเข้าห้องน้ำ) ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามจุดหมายปลายทางของแต่ละคน



"เรื่องเล่าคาวน้ำกาม" 9

"ห้องมึงโคตรน่าอยู่ เตียงนอนนุ่มน่านอน คงกระดอนเด้งทนต่อแรงโยกเยกได้ดี เดี๋ยวกูขอทดสอบหน่อย" ไอ้พัฒน์ส่งสายตาแฝงเลศนัยพร้อมกับกระโดดนั่งลงบนเตียงอย่างเบาๆ
"ไอ้บ้า... มันไม่ใช่เตียงติดสปริงนี่ จะได้เด้งไปเด้งมารับจังหวะที่มึงว่า" ผมรู้สึกเขินนิดๆ

ไอ้พัฒน์ดึงมือของผมลงมานั่งบนเตียงด้วยกัน

"ไม่ได้เจอตั้งนาน กูโคตรคิดถึงมึงจริงๆ อยากจะกอด อยากจะจูบ อยากจะเย็ดมึงซักร้อยครั้งพันครั้ง" ไอ้พัฒน์เริ่มไซร้ตรงข้างกกหูของผมเบาๆ

"พอมาถึงก็เงี่ยนเลยนะมึง กูว่ามึงเก็บแรงเอาไว้ลุยคืนนี้ดีกว่า เท่าที่ดูจากสภาพแล้ว มึงไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ดูตามึงซิ แดงก่ำขนาดนั้น หน้าก็ไม่ได้ล้าง ฟันก็ไม่ได้แปรง น้ำก็ไม่ได้อาบอีก สารพัดความเหม็นมารวมอยู่ในตัวมึง อีกอย่างกูเหนื่อยด้วย อยากจะนอนหลับเอาแรงซักงีบ เมื่อคืนไม่ได้นอน กลัวว่าจะตื่นไม่ทันมารับมึงที่สถานีรถไฟ" ผมเริ่มผละตัวไอ้พัฒน์ออกห่าง

"เออ.... เป็นความคิดที่ดี กูเหนื่อยอยากจะนอนพักเหมือนกัน รอให้ถึงคืนนี้ก่อนเถอะ กูจะเย็ดมึงให้มิดลำมิดโคน เอาให้หนำใจสุดๆ แล้วอย่ามาโอดครวญว่ากูใจร้ายใจดำไม่ได้นะ ช่วยไม่ได้ หน้าตามึงชอบทำให้เจี๊ยวกูโด่ดีนัก" ไอ้พัฒน์กอดผมไว้อย่างแน่น

...................................................

เย็นวันนี้ผมพาไอ้พัฒน์ไปกินข้าวเย็นที่ตลาดฝายหิน ซึ่งเป็นลานขายอาหารในมหาลัย ตลาดฝายหินแห่งนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารและบรรยายกาศสถานที่ ซึ่งคล้ายกับตลาดในอดีตที่ก่อสร้างด้วยไม้ หลังคามุงจากและหญ้าคา (แต่ปัจจุบันนี้ ตัวตลาดจะก่อสร้างใหม่ เทพื้นคอนกรีต เสาคอนกรีตและมุงกระเบื้อง แทบจะไม่เหลือสภาพเดิมของตลาดฝายหินเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน หรือมากกว่าขึ้นไป)

เมื่ออาหารทุกอย่างที่ได้สั่งไว้ มาเสิร์ฟบนโต๊ะครบเรียบร้อยแล้ว..

ขณะที่ผมกำลังจะตักข้าวใส่ปาก ผมถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจจนต้องหยุดการกระทำเอาไว้ชั่วขณะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะสายตาของผมดันไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามานั่งในร้านเดียวกับผม หนุ่มสาวที่ว่าคือ ป้องและยัยกองฟาง (หมั่นใส้อยากจะตบยัยกองฟางมากๆ ทำเชิ่ดอย่างกับเป็นคุณนาย ส่วนป้องก็เดินถือกระเป๋าและถุงหิ้วใส่ของต่างๆ ตามก้นยัยกองฟาง) แถมทั้งคู่ยังเดินมานั่งตรงโต๊ะข้างๆ แถวเดียวกับโต๊ะของผมอีก อะไรมันจะบังเอิ๊น บังเอิญ ขนาดนั้น

แรกๆที่เห็นผม ป้องแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่พอมองเห็นไอ้พัฒน์ที่นั่งอยู่กับผมเท่านั้น สีหน้าและสายตาของป้องก็เปลี่ยนไป ป้องมองผมกับไอ้พัฒน์ด้วยสีหน้าที่นิ่ง สายตาที่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่

ผมพยายามรวบรวมสติให้กลับคืนมาให้เร็วที่สุด

"เราจะต้องไม่มอง เมื่อเห็นหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นแล้วต้องไม่รู้สึกอะไร เหมือนเห็นอากาศธาตุ ไม่มีตัวตน เราต้องทำได้ เราต้องเข้มแข็งนะ" ผมพูดให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบในใจ

พอได้สติกลับคืนมาแล้ว ผมลงมือกินอาหารต่อไปอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่สนใจอะไร ส่วนป้องก็ยังคงแอบมองผมกับไอ้พัฒน์อยู่เป็นระยะๆ

"กินเยอะๆนะมึง จะได้มีเนื้อมีหนังกับเขาบ้าง ดูซิผอมกร่องเชียว" ผมตักกับข้าว 2-3 อย่าง ใส่ในจานข้าวของไอ้พัฒน์ โดยพยายามพูดส่งเสียงดังเล็กน้อยเผื่อโต๊ะข้างๆจะได้ยิน (ร้ายจริงๆเลยตรู)

"มึงก็เหมือนกัน ผอมลงไปเยอะ เอานี่ไปเลย หมูกรอบชิ้นใหญ่ๆ จะได้เพิ่มส่วนก้นของมึงให้ดูนูนๆแน่นๆเด้งๆ" ไอ้พัฒน์ตักหมูกรอบใส่ในจานข้าวของผม

"ไอ้บ้า.... พูดอะไรทะลึ่งอีกแล้ว ไม่รู้จักอายคนบ้างเลยนะ" ผมพยายามพูดดังเพื่อให้คลื่นความถี่เสียงเดินทางไปถึงโต๊ะข้างๆ ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด เพราะป้องหันหน้ามองที่โต๊ะของผมอย่างจัง (เวลานี้ตรูเชิ่ดใส่อย่างเดียวเท่านั้น) พูดไปก็สับสนตัวเองเหมือนกัน ไหนบอกว่าจะไม่แคร์เขา จะไม่สนใจเขา แล้วสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี่ ทำลงไปเพื่ออะไร?
เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ต้องทนฝืนกินให้เสร็จๆไป ถ้าติดตามอ่านจากตอนที่แล้วคงจะรู้นะครับว่า เหตุผลคืออะไร? แค่เห็นหน้าใครบางคน มันก็จุกอกจนหายหิวแล้ว) ผมพาไอ้พัฒน์เดินชมรอบๆฝายหินจนทั่ว ก่อนที่จะออกจากฝายหิน ผมได้ซื้อน้ำแตงโมปั่นถุงใหญ่ น้ำแตงแคนตาลู๊ปปั่นถุงใหญ่ พร้อมทั้งขนมและของกินต่างๆติดไม้ติดมือมา

จากนั้นผมขับรถพาไอ้พัฒน์ขึ้นไปเดินเล่นที่อ่างเกษตร ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่อยู่บนเนินเขาหลังมหาลัย โดยอ่างเก็บน้ำแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่นักศึกษาและบุคคลรอบนอกทั่วไป เพราะเป็นอ่างเก็บน้ำที่สวยมากๆ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองเชียงใหม่ทั้งเมืองได้อย่างชัดเจนมาก ส่วนบริเวณด้านหลังเป็นวิวของดอยสุเทพที่สูงตระหง่าน

"สวยว่ะ ไอ้กันต์ ถ้าไม่ได้มึงมาเป็นไกด์พากูเที่ยวที่นี่ กูคงคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี อย่างมากคงหนีไม่พ้นพวกห้างและผับต่างๆในตัวเมือง ขอบใจมากนะโว้ย" ไอ้พัฒน์มองหน้าผมพร้อมกล่าวขอบคุณ

"มึงไม่ต้องเวอร์ขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้เป็นทีของกูแล้วที่จะพามึงเที่ยวทั่วเชียงใหม่ กูยังจำได้เลย ตอนที่ไปเที่ยวบ้านมึงที่หาดใหญ่ มึงทำหน้าที่ไกด์ได้ดีมากๆ กูรู้สึกประทับสุดๆจนถึงวันนี้เลย" ผมยิ้มให้ไอ้พัฒน์

"เสียดาย ที่มึงกับกูไม่ได้เรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้กูคงจะเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉามากที่สุดคนหนึ่ง" ไอ้พัฒน์พูดทิ้งท้าย พร้อมกับเอื้อมมือของมันมาจับมือผม

"ไอ้บ้า... มึงพูดจนกูอายไปหมดแล้ว" ผมพยายามแสดงอาการเขินอายเล็กน้อย (มันเป็นอาการเขินที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นการแสดงที่สร้างขึ้นมาเพื่อถนอมน้ำใจฝ่ายตรงข้าม โดยภายในใจของผมนั้น มันร้อนรนจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในฝายหิน เมื่อครู่ที่ผ่านมา)

"ไอ้กันต์... กูชอบมึงจริงๆนะโว้ย ถ้ามึงเรียนอยู่มหาลัยเดียวกับกู กูขอมึงเป็นแฟนนานแล้ว กูไม่ปล่อยมึงไว้หรอก กลัวโดนใครคาบไปแดกเสียดายว่ะที่ระยะทางทำให้กูต้องแห้ว" ไอ้พัฒน์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

"มึงเข้าใจพูด มันก็เป็นเรื่องจริงนะที่ว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด หรือไม่ รักแท้แพ้ระยะทาง แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้มึงกับกูก็ได้มาพบกันอีกครั้ง" ผมได้แต่ยิ้มให้ฝ่ายตรงข้าม

"แค่ 5 วันเอง" ไอ้พัฒน์แกล้งทำหน้าซึม

"เออน่า... จะ 5 วัน ยังดีกว่าไม่ได้เจอกันเลยนะ จริงไหม?" ผมหยอกกลับ

"จริงของมึง ช่วงเวลาที่กูอยู่กับมึง กูจะถอนทุนคืนและเอากำไรให้มากที่สุด เริ่มจากคืนนี้ กูจะเอามึงยันเช้าจนเห็นฟ้าเหลืองคาตาเลย คอยดูเถอะ" ไอ้พัฒน์เริ่มพูดวกเข้าสู่เรื่องใต้สะดือ

"ไอ้บ้า.. เงี่ยนอีกแล้วนะมึง ดูซิเป้ากางเกงตุงแน่นเชียว เวลาเดินไม่อายคนบ้างเลยหรือไง" ผมมองไปที่เป้ากางเกงของไอ้พัฒน์ พร้อมกับหัวเราะด้วยความขบขัน


........................................................


ก่อนที่จะเข้านอน ผมกับไอ้พัฒน์ต่างก็อยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ เราทั้งสองสวมกอดและแลกลิ้นดูดปากของกันและกันอย่างดูดดื่ม

ไอ้พัฒน์ค่อยๆผลักตัวของผมนอนล้มลงบนเตียง พร้อมกับก้มหน้ามาดูดตรงหัวนมทั้งสองข้างของผม จากนั้นก็ย้ายตำแหน่งเลื่อนลงมาทีละนิดๆจนมาถึงแท่งตอปิโดของผม

ไอ้พัฒน์อ้าปากครอบแท่งตอปิโดของผมจนมิดลำ พร้อมทั้งใช้ริมฝีปากรูดขึ้นๆลงๆอย่างเป็นจังหวะ จนผมส่งเสียงร้องครางอย่างเบาๆด้วยความเสียว

ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ใช้ลูบคลึงกะโปกของผม พร้อมทั้งช้อนลูกชิ้นเอ็นของผมทั้งสองลูกอยู่เป็นระยะๆ

พอดูดแท่งตอปิโดของผมจนหนำใจแล้ว ไอ้พัฒน์ก็จัดการเปลี่ยนตำแหน่งทันที โดยการเลื่อนตัวผมให้ไปนอนทับอยู่ข้างบนตัวมัน

ผมดูดไซร้ซอกคอ ตลอดจนหัวนมทั้งสองข้างของไอ้พัฒน์จนเป็นที่เรียบร้อย ผมไม่รอช้า รีบจัดการถวายบัวให้ไอ้พัฒน์อย่างรู้การรู้งาน ไม่ได้เอากันมานานมาก กระดอของไอ้พัฒน์ยังสวยน่าดูดอยู่เหมือนเดิม (ถึงแม้จะเล็กไปก็ตาม)

ผมใช้ลิ้นเลียตวัดไปรอบๆบริเวณรอยหยักตรงกระดอ เวลานี้ไอ้พัฒน์ทำหน้าเหย๋ พร้อมกับร้องซี๊ดๆขึ้นมา

ซักพักไอ้พัฒน์ใช้ฝ่ามือตบลงบนก้นของผมอย่างเบาๆ ซึ่งเป็นอันรู้กันว่า ได้เวลาที่จะเอากระดอของมันมาสวนรูทวารของผมแล้ว

ผมเอื้อมมือไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ในลิ้นชักตรงโต๊ะหัวเตียง ผมชะโลมทาเจลหล่อลื่นลงที่กระดอของไอ้พัฒน์ และทาบริเวณปากรูทวารหนักของตัวเอง

ไอ้พัฒน์ค่อยๆแหย่กระดอเข้าไปในรูดากของผมอย่างช้าๆนุ่มนวล จนกระดอเข้ามิดลำ จากนั้นไอ้พัฒน์ก็ชักเข้าๆออกๆอย่างไม่เร่งรีบเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง

เมื่อเครื่องยนต์วิ่งเรียบไม่มีสะดุด ไอ้พัฒน์จึงเร่งเครื่องกระเด้าซอยกระดอเข้าๆออกๆในรูดากของผมอย่างถี่รัว ผมครางออกมาโดยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ (ก็มันเสียวนี่)

เวลานี้เราทั้งสอง ต่างก็ร้องส่งเสียงครางรับประสานกันเป็นบทเพลงแห่งกามโลกีย์ได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง

ซักพัก ไอ้พัฒน์เริ่มซอยกระดออย่างถี่รัวผิดปรกติ พอจะเดาออกว่า มันใกล้แตกแล้วแน่ๆ ผ่านไป 3 วินาที ไอ้พัฒน์ส่งเสียงร้องครางดังผิดปรกติและผมเองก็รู้ตัวว่าในก้นของผมร้อนๆ แน่นๆ และเปียกแฉะ

ไอ้พัฒน์ได้พ่นน้ำกามออกมาอย่างล้นทะลัก พร้อมกับสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนนิดๆ

"คราวนี้มาถึงทีกูบ้าง ดูดให้ดีๆนะมึง กูอยากจะแตกคาปากมึง" ผมยื่นแท่งตอปิโดที่แข็งโด่ ไปที่ปากของไอ้พัฒน์

ไอ้พัฒน์จับการอมๆดูดๆเลียๆแท่งตอปิโดของผม จนผมทนไม่ไหว พ่นน้ำกามใส่ในปากของไอ้พัฒน์อย่างหมดก๊อก
จนไอ้พัฒน์ต้องรีบวิ่งเข้าไปในห้องห้องน้ำทันที

"ไอ้ห่า... แม่ง... น้ำโคตรเยอะเลยมึง แถมเค็มอีกต่างหาก กูจะท้องไหมนี่?" ไอ้พัฒน์พูดด้วยอารมณ์ขำขัน พร้อมเดินออกมาจากในห้องน้ำ

...............................................................


ตลอดระยะเวลา 5 วัน ที่ได้อยู่กับไอ้พัฒน์ ผมรู้สึกมีความสุขมาก จนสามารถที่จะลืมและไม่คิดถึงใครบ้างคนได้ แต่ก็น่าเสียดาย ที่ผมกับไอ้พัฒน์ต่างอยู่ไกลกันเหลือเกิน (เหนือ กับ ใต้) ไม่อย่างนั้น............ (ไม่เอา ไม่อยากคิด) ............ จะอธิบายอย่างไรดี ผมว่าประโยคหรือวลีนี้จะอธิบายถึงความรู้สึกและความเป็นไปได้ ได้ดีที่สุด

"ระยะทางยิ่งห่างกันมากเท่าใด ความสัมพันธ์และความผูกพันธ์ก็ย่อมห่างเหินกันมากฉันนั้น"


วันที่ผมส่งไอ้พัฒน์ขึ้นรถทัวร์จากเชียงของ ไป กรุงเทพฯ (ผมพาไอ้พัฒน์เที่ยวที่เชียงใหม่ 3 วัน และขึ้นไปเชียงของ 2 วัน) ก่อนที่มันจะขึ้นรถ มันได้บอกกับผมว่า....

"วันนี้กูกับมึงคงเป็นได้แค่เพื่อนร่วมสนุกกันไปก่อน แต่วันหน้า หลังจากเรียบจบแล้ว ถ้าเราสองคนมีโอกาสอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ กูหวังว่า เราสองคนคงจะได้เป็นเพื่อนร่วมทางเดินหัวใจของกันและกัน"
ปิดเทอมใหญ่รอบนี้ ผมไม่ได้ลงเรียนซัมเมอร์อีกเช่นเคย เพราะขี้เกียจ และสาขาวิชาที่ผมเรียนนั้น ถึงแม้จะลงเรียนซัมเมอร์ทุกปีก็ตาม แต่ก็ต้องจบ 4 ปีอยู่ดี เพราะหลักสูตรบังคับว่า "ต้องจบ 4 ปีเท่านั้น" ไม่อนุญาตให้จบก่อน( 3 ปีครึ่ง) เหมือนกับสาขาวิชาอื่นๆ หรือคณะอื่นๆ แต่จะสามารถจบหลัง 4 ปีก็ได้ (ถ้าใจปราถนา ซึ่งคงไม่มีใครอยากเรียนเกิน 4 ปีอยู่แล้ว)
จริงๆแล้วเหตุผลหลักของคนปากแข็งอย่างผมก็คือ อยากจะพาหัวใจดวงน้อยๆของตัวเอง ที่โดนย่ำยีจนบอบช้ำจากฝีมือของคนใจร้ายที่ชื่อ "ป้อง" ไปพักผ่อนตากอากาศ เปิดหูเปิดตา ดูโลกกว้างเพื่อเสริมสร้างวิสัยทัศน์และมุมมองใหม่ๆให้กับตัวเอง (พูดออกทะเลไปโน่นเลยตรู) พูดง่ายๆตามประสาชาวบ้านก็คือ "หลบไปหาที่พักใจ" (จนป่านนี้แล้ว ตรูยังไม่ลืมผู้ชายคนนี้อีกหรือ?) ทำไมถึงช่างลืมยากลืมเย็นแบบนี้!!!!!!!!

ผมทำอะไรตอนปิดเทอมใหญ่รอบนี้? คำตอบคือ ผมจะไปทัศนศึกษาที่ประเทศอินเดีย กับอาจารย์ท่านหนึ่งในภาควิชาภาษาปัจจุบันตะวันออก (โดยอาจารย์มีศักดิ์เป็นญาติของผม) นอกจากอาจารย์จะมีงานประจำ คือ สอนหนังสือในมหาลัยแล้ว อาจารย์ยังรับงานพิเศษเป็นไกด์และคนจัดคณะทัวร์ไปเที่ยวอินเดีย ตอนปิดเทอมอีกด้วย


.............................................................


ณ สนามบินดอนเมือง (พ.ศ. 2539) เวลา 7 โมงเช้า

ผมกับบอลถือกระเป๋าทางพร้อมกับสะพายเป้มายืนรอคณะทัวร์ในจุดนัดหมาย มองไปมองมายังไม่เห็นมีใครมาเลย แน่ละ... เราทั้งสองมาก่อนเวลาที่กำหนดตั้ง 3 ชั่วโมงกว่า

ไม่ใช่บ้าเห่ออะไรหรอกครับ (เดี๋ยวกลัวคนอ่านจะคิดว่า มาเมืองนอกครั้งแรกถึงกับตื่นเต้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?) ที่มาก่อนเพราะต้องเผื่อเวลา บ้านของบอลอยู่ตั้งบางนา (ผมมาค้างที่บ้านของบอลก่อนล่วงหน้า 2 คืน คงไม่ต้องบรรยายให้ทราบนะครับว่า นอนห้องไหนในบ้านของบอล? และทำอะไรกันบ้าง? เพราะคำตอบเป็นอย่างที่คุณผู้อ่านคิดเอาไว้แน่นอน XXXกันทั้งคืนครับ เสียอย่างเดียวคือ "บอลล่มปากอ่าว" แต่ก็เงี่ยนบ่อยเหมือนกันนะ)

การเดินทางจากบางนามายังสนามบินดอนเมืองไกลมากโขอยู่


ผมลืมบอกไปว่า ในการเดินทางครั้งนี้ ผมได้ชวนบอลไปเที่ยวด้วย ซึ่งบอลก็สนใจและอยากไปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับโดนลูกตื้อของผม เลยทำให้ตอบตกลงทันที (เพราะรู้มาว่า ทริปอินเดีย คนที่ไปส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีอายุทั้งนั้น หาวัยรุ่นหล่อๆน่ารักๆ ยากมากกกกกก ขืนไปคนเดียวมีหวังหำหดแน่ๆ)

"นายเฝ้ากระเป๋าอยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวเรามา" ผมถอดเป้ออกจากหลังและวางกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆลงที่พื้น

"จะไปไหน? ทำไมต้องให้เรายืนรอตรงนี้ด้วย?" บอลถามด้วยความสงสัย

"ปวดเยี่ยว จะไปด้วยไหมละ? ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยรูดซิปงัดเจี๊ยวเราออกมาที่โถ ยิ่งขี้เกียจอยู่ด้วย พอเสร็จแล้ว จะได้ช่วยอมให้เรา เพื่อเป็นการทำความสะอาดไปในตัว" ผมทำหน้าทะเล้นใส่บอล

"แหวะ... สกปรก ซกมกจริงๆ ยังมาทำหน้าตายแบบนี้ใส่เราอีก จะไปดื่มน้ำปัสสาวะที่ไหนก็ไป แต่อย่าไปนานและห้ามเถลไถลเด็ดขาด" บอลค้อนใส่ผม

"ครับผม" ผมยิ้มรับคำ

................................................................


ขณะที่ผมกำลังยืนยิงกระต่ายอย่างมีความสุข ทันใดนั้นมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หรือไม่งั้นก็มากกว่าผมไม่กี่ปี (สังเกตุจากทรงผมที่ก้ำๆกึ่งๆดูไม่ออกว่าจะเป็นเด็กมัธยมก็ไม่ใช่ เด็กมหาลัยก็ไม่เชิง) หนุ่มน้อยคนดีหน้าตาจัดได้ว่าหล่อโฮกมากๆ (ขอยืมศัพท์สมัยใหม่มาใช้หน่อยนะ เพราะบรรยายได้โดนตรงจุดจริงๆ) หล่อแบบไทยแท้ สูงยาวเข่าดี โดยเฉพาะส่วนสูงน่าจะประมาณ 185 เซนติเมตร (สูงๆแบบนี้ ลำกล้องคงจะยาวใช่น้อย) ผิวสองสีเนียนสวย ดูสะอาดสะอ้าน

ผมมองดูความหล่อของหนุ่มน้อยคนนั้นอย่างลืมตัว จนได้สติกลับคืนมา ผมจึงแกล้งทำเนียนยืนยิงกระต่ายต่อ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย หนุ่มน้อยคนนั้นจ้องมองผมด้วยสายตาที่ไม่ยินดียินร้ายอะไร จากนั้นก็เดินมายืนที่โถข้างๆผม (ทั้งๆที่ในห้องน้ำมีโถว่างอยู่ตั้งหลายมุม)

ผมรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับกำลังผจญภัยอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่าง ผมค่อยๆชำเลืองตามองต่ำมาที่หนุ่มน้อยคนนั้น

แจ๊คพ็อตแตกจริงๆครับ!!!!! หนุ่มน้อยคนนั้น ค่อยๆยืนห่างโถออกทีละนิดๆ พร้อมกับค่อยๆถอกหนังบริเวณลำกระดอ ผมมองดูแล้วทำให้กระจู๋ของผมแข็งขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ

เวลานี้ผมแน่ใจ 100% แล้วว่า หนุ่มน้อยคนนี้เล่นด้วยจริงๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมเลยโชว์แท่งตอปิโดที่แข็งปึ๋งของผมให้ดูบ้าง ผมค่อยๆรูดมันอย่างช้า พร้อมกับถอกหนังหุ้มที่บริเวณหัวกระดอ

หนุ่มน้อยคนนั้นเอื้อมมือมาจับแท่งตอปิโดของผม และค่อยๆชักเข้าๆออกๆ

ส่วนตัวของผมเองนั้น ก็รีบเอามือมาจับพิสูจน์ความยาวของมังกรฝ่ายตรงข้าม (เพื่อไม่ให้ขาดทุน) ซึ่งลำตัวของมังกรยาวสวยได้รูป หัวมังกรสีชมพูเปิดออกมาทักทายโลกภายนอก ส่วนขนาดนั้นไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปนัก

เราทั้งสองต่างก็สัมผัสอวัยวะเพศของกันและกันอย่างตื่นตาตื่นใจ

เอี๊ยด... !!!!!!!! เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น

เราทั้งสองต่างก็รีบปล่อยมือออกจากอวัยวะเพศที่แข็งโด่ของกันและกันอย่างอัตโนมัติ พร้อมกับทำท่ายืนฉี่อย่างปรกติ

คนที่เปิดประตูห้องน้ำเข้ามานั้น เป็นผู้ชายวัยกลางคน 3 คน พวกเขาเดินเข้ามายืนฉี่ที่โถอีกมุมหนึ่ง 4 วินาทีถัดมา ก็มีฝรั่งผู้ชาย 2 คนเข้ามา โดยคนหนึ่งจูงมือเด็กผู้ชายราวๆ 3-4 ขวบ เข้ามาด้วย ฝรั่งที่ไม่ได้มากับเด็ก เดินมายืนฉี่ข้างๆกลุ่มผู้ชายวัยกลางคน ส่วนฝรั่งที่มากับเด็ก ยืนแปรงฟันอยู่ตรงอ่างล้างหน้า

สวรรค์ล่มเลยตรู!!!!!!! ผมรีบเดินออกจากห้องน้ำอย่างเซ็งๆ เพราะโอกาสไม่เอื้ออำนวย และที่สำคัญ ลืมไปว่า บอลยืนรออยู่!!!!!!!! ผมเลยรีบวิ่งสู้ฟัดไปหาบอลทันที

"ทำไมฉี่นานจัง? หรือว่าไปเดินเถลไถลที่ไหนมา?" บอลถามขึ้นมา

"ไม่ได้ไปเดินเหลวไหลที่ไหนหรอก เผอิญฉี่เสร็จแล้วปวดอึอย่างกระทันหัน เลยต่ออีกรอบ" ผมป้อนสตอใส่ปากบอล

"มิน่าละ ถึงว่า... ได้กลิ่นอะไรตุๆแถวนี้ ที่แท้ก็จากนายนี่เอง ล้างมือสะอาดแล้วใช่ไหม?" บอลทำหน้าทำตาพร้อมกับใช้มือทำท่าพัดไปมาที่จมูกของตน

" ล้างสะอาดแล้ว จะดมดูไหมว่าหอมแค่ไหน?" ผมทำเนียนโดยการยื่นมือไปที่จมูกของบอล (รอดตัวไปตรู นึกว่าจะสตอไม่ขึ้นซะแล้ว)

.................................................................


เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง อาจารย์ที่เป็นหัวหน้าทัวร์ก็มาถึง หลังจากนั้นบรรดาพวกลูกทัวร์ก็เริ่มทยอยมากัน อาจารย์จะแนะนำให้ลูกทัวร์ทุกคนรู้จักกันและกัน เห็นอาจารย์บอกว่าลูกทัวร์ทั้งหมดในทริปนี้รวมทั้งตัวอาจารย์ด้วย มีด้วยกัน 12 คน ทั้งลูกทัวร์ที่มาโดยตรงจากเชียงใหม่ และลูกทัวร์จากกรุงเทพ ที่ส่งต่อมาจากบริษัททัวร์ในกรุงเทพ

ทันใดนั้น มีลูกทัวร์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาอาจารย์ ลูกทัวร์กลุ่มที่ว่านี้เป็นครอบครัวมีทั้งหมด 5 คน พ่อ แม่ ยาย(หรือย่า ไม่แน่ใจ) ลูกชาย และลูกสาว

เมื่อผมได้เห็นหน้าลูกชายของครอบครัวนี้ ผมรู้สึกตกใจปนช็อคนิดๆ เพราะ ลูกชายของครอบครัวนี้เป็นคนๆเดียวกับหนุ่มน้อยคนที่เล่นว่าวกับผมในห้องน้ำ เมื่อครู่ที่ผ่านมา

แรกๆที่เจอหน้ากัน ผมและหนุ่มน้อยคนดังกล่าว ต่างก็รู้สึกตกใจและงงๆ จนทำสีหน้าไม่ถูกที่ได้มาเจอกันอีกรอบ แถมยังบังเอิญร่วมคณะทัวร์เดียวกันด้วย !!!!!!

เมื่อถึงสนามบินนานาชาติเมืองกัลกัตต้า(ปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "โกลกาต้า") และผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองแล้ว หัวหน้าทัวร์ก็เช็คจำนวนลูกทัวร์ ตลอดจนความเรียบร้อยต่างๆภายในคณะ พร้อมทั้งเดินนำไปยังประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้า
รถบัสได้จอดรอพวกเราอยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้ามหน้าอาคารผู้โดยสารขาเข้า
ผมนั่งคู่กับบอล(ซึ่งขอเหมาผูกขาดกับการนั่งที่นั่งติดกับหน้าต่างตลอดทริป) ขณะที่กำลังรอให้ลูกทัวร์ขึ้นรถครบทุกคน หนุ่มน้อยคนนั้นพร้อมน้องสาวก็เดินเข้ามานั่งตรงเบาะฝั่งตรงข้ามกับผม

น้องสาวของเขานั่งติดกับหน้าต่าง ส่วนตัวเขานั่งอยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับผมพอดิบพอดี (ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่าจงใจกันแน่?)

ระหว่างทางที่รถวิ่งเข้าไปในเมืองโกลก้าต้า บอลก็เข้าฌาณอีกตามเคย (ถ้านั่งรถโดยสารระยะทางไกลเกิน 10 กิโล บอลมักจะหลับเสมอ)

"มาเที่ยวกับเพื่อนหรือครับ? หรือว่ามากับครอบครัวด้วย?" หนุ่มน้อยคนนั้นพูดทักทายผม

"มากับเพื่อนครับ และญาติผู้ใหญ่อีก 1 คน อาจารย์นิตยาที่เป็นหัวหน้าทัวร์ ท่านเป็นน้าของผม" ผมทักทายตอบด้วยอาการเขินๆ

"ผมชื่อภีม( ภี-มะ) หรือเรียกชื่อเล่นว่า ภีม(ภีม) ได้นะครับ สะดวกแบบไหนก็เรียกแบบนั้น นายชื่ออะไร?" หนุ่มน้อยคนนั้นแนะนำตัวเอง

"กันต์ ชื่อนายเพราะและเก๋ไม่เหมือนใครดีนะ ส่วนคนที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ชื่อบอล" ผมแนะนำตัวเองพร้อมทั้งหันหน้าไปหาบอล (แอบกัดเจ้าบอลทีเผลอ)

"กันต์ช่างเข้าใจแกล้งเพื่อน" ภีมแอบขำอย่างเบาๆ

"ลืมแนะนำไป นี่น้องสาวเราชื่อพริ้มเพรา" ภีมแนะนำเด็กผู้หญิงวัยรุ่นที่กำลังฟังเพลงจากหูฟังของเครื่องเล่นซีดี เด็กผู้หญิงคนนี้อายุไม่น่าเกิน 15 ปี เธอรีบถอดเอาหูฟังออกจากหูทันที

"พี่ชื่อกันต์"

"สวัสดีคะพี่กันต์" พริ้มเพรา ยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท หลังจากนั้นก็ใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงต่อทันที

"กันต์เรียนอยู่ชั้นไหน? อายุเท่าไหร่? จะได้เรียกถูก" ภีมเอ่ยถามผม

“เราจะย่างเข้า 18 อีก 2 เดือน ตอนนี้เรียนอยู่มหาลัยจะขึ้นปี3 นายละ?" ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา

"โอ้โห.. กันต์เรียนเร็วจัง สงสัยสอบเทียบมาแน่นอน เก่งมาก เราอายุ 18 เหมือนกัน เราเพิ่งสอบเอ็นทรานซ์เสร็จ ตอนนี้กำลังรอฟังผลสอบอยู่ ทางบ้านไม่อยากให้เราเครียดมาก เลยมาเที่ยวอินเดียกันทั้งบ้าน" ภีมเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังอย่างคร่าวๆ

"ภีมอยากเรียนคณะไหน? เลือกมหาลัยไหนบ้าง?" ผมถามแบบมีลุ้นนิดๆ (เผื่อภีมเลือกอาจเลือกมหาลัยของผม)


"อยากเรียนคณะบัญชีมากที่สุด รองมาก็บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ ส่วนมหาลัยนั้น เราเลือกแต่มหาลัยชั้นนำในกรุงเทพทั้งหมด ถ้าเกิดเอ็นฯไม่ติด คงต้องไปเรียนเอกชน" ภีมตอบแบบไม่แน่ใจในอนาคตทางการศึกษาของตัวเอง


"คนนี้เขาเรียนอยู่คณะบริหารฯ" ผมชี้มือมาที่บอล

"อะไรๆ แอบนินทาเราอยู่หรือ? นึกว่าเราหลับละซิ" บอลลืมตาขึ้น พร้อมท่าทางสะลึมสะลือ

"เรื่องเล่าคาวน้ำกาม" 8

ผมรีบบึ่งรถกลับมาตั้งหลักที่คอนโด ตอนนี้ผมรู้สึกมึนตื้อไปหมด มันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ทั้งเสียใจ(ชนิดที่อยากจะร้องให้ แต่น้ำตามันไม่ยอมไหลออกมาซะที) ทั้งโกรธ และทั้งเสียความรู้สึก เหมือนโดนหลอก (หลอกให้เรารัก พอเราให้ความรักไปจนหมดใจแล้ว เขากลับไม่เห็นคุณค่าอะไรเลย ทำเหมือนเป็นของเล่น พอเบื่อก็ทิ้งๆขว้างๆ) จนอยากจะตะโกนออกมาจนสุดหลอดลม
ผมนั่งอยู่คนเดียว พร้อมกับเปิดเพลงสร้างอารมณ์ไปด้วย (เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันหดหู่เศร้าสร้อยจนเกินไป) ผมเปิดฟังอยู่ 2 เพลง คือ เพลง "ก็เคยสัญญา" ของ อัสนี วสันต์ และ เพลง "หมดคำถาม" ของ นูโว (โดยเฉพาะท่อนที่ว่า "เจอคำตอบอย่างนี้ จึงหมดคำถาม" โดนใจมากๆ) เปิดวนกลับไปมาอย่างนั้น (พอเพลงจบก็กรอเทปกลับมาใหม่ เปิดจนชนิดที่เทปยานกันไปข้างหนึ่ง) ตั้งแต่บ่าย 2 โมง จนเกือบๆ 4 ทุ่ม (ไม่รู้ว่าตรูทำไปได้ยังไง?) จากนั้นสายตาของผมก็จ้องมองไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง

"ป่านนี้แล้วยังไม่โทรมาหาหรือโทรมาแก้ตัวอีก ใจดำจริงๆ" ผมบ่นกับตัวเอง (ทำไมตรูโง่ซ้ำซากแบบนี้ ยังจะไปหวังลมๆแล้งๆให้เขาโทรมาอีก ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ)

พอเวลาหัวถึงหมอนก็นอนไม่หลับอีก จิตใจมันคิดถึงแต่ "ป้อง" ให้ฟุ้งซ่านไปหมด นี่ก็ผ่านไปดึกดื่นครึ่งค่อนคืนแล้ว ทำไมถึงนอนไม่หลับซักที ภายในใจของผมมันช่างตรงข้ามกับอากาศในฤดูหนาวที่เหน็บหนาวเยือกเย็น ในใจมันร้อนเหมือนอากาศในฤดูร้อนช่วงกลางเดือนเมษา ก็ไม่ปาน

กว่าข่มตาหลับนอนได้ก็ปาเข้าไป 6 โมงเช้า (โดดเรียนไป 1 วันเต็มๆ เพราะตื่นสายและไม่มีกะจิตกะใจไปเรียน) ตื่นมาอีกทีตอนบ่าย 3 โมง

ก๊อก.. ก๊อก.. ก๊อก.. เสียงเคาะประตูดังขึ้น

"ในที่สุดเขาก็มา คราวนี้ละ ตรูจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ให้ดู" ผมพูดกับตัวเองด้วยความสะใจ(งงกับความรู้สึกของตัวเองมาก ใจหนึ่งก็ดีใจที่เขามาหา แต่อีกใจก็โกรธเกลียดไม่อยากเห็นหน้า)

ผมค่อยๆเดินไปเปิดประตู (ทั้งที่ใจอยากจะรีบวิ่งไปเปิด ก็มันอยากเจอหน้า นี่พูดตามความจริงนะ) พอเปิดประตูออกมา สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที เพราะคนที่มาเคาะประตูคือ "บอล" ไม่ใช่เขาคนนั้น (ไม่อยากพูดถึงชื่อ)

"วันนี้ทำไมนายไม่ไปเรียน? เราเห็นรถนายจอดอยู่ที่ลานจอดรถตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นายเป็นอะไรหรือเปล่า?" บอลถามด้วยความเป็นห่วง

"เราไม่ค่อยสบาย" ผมตอบแบบผ่านๆ

"ตัวก็ไม่ร้อน ผิวพรรณนายก็สดใสดูไม่เหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัว ปวดฟัน หรือปวดท้อง คงไม่ใช่ อาการแบบนาย ดูเหมือนคนไม่สบายใจมากกว่า ทะเลาะกับแฟนมาละซิ?" บอลใช้หลังมือแตะตรงหน้าผากของผม พร้อมกับทำหน้าที่หมอวินิจฉัยโรค

ผมพยักหน้าอย่างเป็นอันเข้าใจ

"นึกแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้แน่ๆ ถึงว่าวันนั้น... " บอลหยุดพูดทันทีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ดูจากลักษณะท่าทางการพูดของพอเดาออกว่าบอลคงจะรู้จะเห็นอะไรมา

"วันนั้น... อะไรหรือ? นายไปรู้ไปเห็นอะไรมา บอกให้เราฟังบ้างซิ เผื่อว่ามันจะทำให้เราดีขึ้นนะ ถ้านายมัวแต่ปิดบังแบบนี้ มันอาจจะไม่ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นมาก็ได้ ดีไม่ดี... มันอาจจะทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ" ผมพยายามเค้นเอาความจากบอล

"เออ.. ความจริงมันใช่ธุระกงการอะไรของเราหรอกนะ ขอโทษด้วยที่เราไม่ได้บอกนายตั้งแต่แรก เพราะเรากลัวว่านายจะไม่สบายใจ และถ้ามันไม่เป็นจริงอย่างที่เราเห็นหรือเราคิด มันก็ไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายด้วย แต่เพื่อความสบายใจของนายในตอนนี้ เราก็จะเล่าให้ฟัง.. เมื่ออาทิตย์ก่อน เราเห็นแฟนของนายนั่งกินข้าวกับยัยเจ๊กองฟาง สองต่อสอง อยู่ที่โรงอาหารคณะเรา" บอลบอกรายละเอียด

"ขอบใจมากนะ บอล " ผมแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มันรู้เจ็บจี๊ดที่ตรงหน้าอกข้างซ้าย

ผมนั่งปรับทุกข์กับบอล จนรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ในเวลาทุกข์ใจเช่นนี้ การที่มีใครซักคนคอยรับฟังเรื่องราวและปลอบใจ ให้กำลังใจ นับว่าเป็นยาแก้ปวดทางใจที่วิเศษสุดๆ ถึงแม้ว่าจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม

เวลาผ่านไปได้ อาทิตย์กว่าๆ อาการเจ็บปวดทางใจของผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาเยอะมาก กาลเวลาถือเป็นยาขนานเอกที่ช่วยสมานแผลใจได้ดีที่สุดจริงๆ

ส่วนป้องนับตั้งแต่เจอกันที่ร้านเย็นตาโฟ จนมาถึงเวลานี้ก็ยังคงหายหน้าหายตา ไม่ได้เจอหรือติดต่อกัน คนอะไรใจร้ายใจดำสุดๆ

ผมนั่งคุยกับบอลอยู่ในห้องของผม เราทั้งสองคุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างสนุกสนาน

ก๊อก..... ก๊อก...... ก๊อก...... เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

"ใครมาว่ะ ดึกดื่นค่ำคืนขนาดนี้แล้ว ยังมาเคาะอยู่ได้ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจกันบ้างเลย" ผมบ่นไปพร้อมกับเดินไปเปิดประตู (ผมเดาว่าคงจะเป็นอีพี่บาสแน่ๆ เพราะตอนบ่าย พี่แกเปรยๆว่า จะมาขอยืมแล็กเชอร์วิชาประวัติศาสตร์ล้านนา ไปถ่ายเอกสาร แต่ก็ไม่น่าจะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น กว่าจะสอบก็วันศุกร์หน้าโน่น)

พอเปิดประตูออกมา ผมถึงกับตกใจชนิดที่ว่า ใจเต้นระรัวและมือไม้สั่นไปหมด คนที่มาเคาะประตูไม่ใช่พี่บาส แต่เป็น เขาคนนั้น

"มาทำไม? มีธุระอะไร?" ผมถามป้องด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา และสีหน้าที่ไร้อารมณ์ (แต่ในใจหาได้เป็นเช่นนั้นไม่)

"คิดถึง มีเรื่องจะคุยด้วย" ป้องพูดเสียงค่อยๆ สีหน้าของป้องนั้น เหมือนกับคนที่ทำผิดแล้วถูกจับได้

"เราไม่มีเรื่องจะคุยกับนาย กลับไปได้แล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป เรากับนายไม่มีอะไรที่จะต้องติดต่อพูดคุยกันอีก เราไม่รู้จักกันอีกต่อไป ที่ผ่านมาทั้งหมดถือซะว่า เรากับนายแค่เล่นสนุกด้วยกันเฉยๆไม่มีความผูกพันธ์ใดๆต่อกัน" ผมทำท่าหมางเมิน พร้อมกับดันมือไปปิดประตู

"เดี๋ยวก่อนซิ เราอยากจะคุยกับนายจริงๆ สำคัญและก็ซีเรียสมาก" ป้องพยายามดันประตูเพื่อเข้ามาในห้อง

"แต่เราไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ขอเชิญกลับไปได้แล้ว" ผมพยายามไล่ป้องออกจากห้อง

"ที่ไล่เรากลับก็เพื่อจะเอาเวลาไปเย็ดกับไอ้แว่นนี่ใช่ไหม? คงไม่อยากให้เราขัดความเสียวละซิท่า" ป้องชี้นิ้วไปที่บอล พร้อมกับพูดประชดประชันใส่ผม

"อย่าเอาความประพฤติของตัวเอง มาเป็นบรรทัดฐานใช้วัดคนอื่น และอย่าคิดว่า คนอื่นเขาจะทำเหมือนตัวเองทำ" ผมเผลอใช้มือตบปากป้องไปอย่างลืมตัว จนป้องง้างมือจะมาตบผม แต่แล้วป้องก็ต้องหยุดการกระทำเอาไว้ เพราะสายตาของผมจ้องมองป้องอย่างแข็งกร้าวและท้าทาย จนป้องไม่กล้าทำอะไร

"ทำไมนายพูดหมาๆแบบนี้ว่ะ" บอลพูดต่อว่าป้อง

"กูจะพูด... มึงจะทำไม? ไอ้แว่น! ถ้ามึงแน่จริง มาตัวต่อกับกูที่ใต้ตึกไหม?" ป้องเดินเข้ามาหาเรื่องบอล โดยผลักอกบอล จนบอลถึงกับเซและเกือบตกเก้าอี้

"นี่มันหาเรื่องกันนี่หว่า ไอ้ห่า. เออ.. ได้เลยทุกเมื่อ" บอลเดินเข้ามาหาป้อง และกำหมัดทำท่าจะชก

ผมเห็นเหตุการณ์ชักแย่ลงไปทุกที ดังนั้นผมจึงเข้าไปห้ามบอลและกันบอลออกห่างจากป้อง

"เราว่านายกลับห้องไปก่อน ได้โปรดเถิด เราขอร้องนะ นะ" ผมอ้อนวอนให้บอลกลับไปที่ห้อง เพราะผมคิดว่า เป็นวิธีที่ดีที่สุด

ระหว่างบอลกับป้องนั้น ดูเหมือนว่า บอลจะเป็นคนมีเหตุผลและเข้าใจอะไรง่ายกว่า ไม่ดื้้อด้านเหมือนป้อง ส่วนป้องนั้น ถ้าปล่อยให้อยู่กับผมตามลำพัง ผมพอจะรับมือได้ (ตอนนี้ป้องเหมือนหมาบ้า ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป ต้องปล่อยตามใจ)

"ก็ได้ นี่เราเห็นแก่นายนะ ดีเหมือนกัน ขืนอยู่ต่อมีหวังได้ชกหน้าใครบางคนแน่ๆ" บอลจ้องมองป้องอย่างโกรธเคือง และเดินออกจากห้องไปทันที

"ไม่แน่จริงนี่หว่า จะกลับไปกินนมละซิ" ป้องพูดถากถางทิ้งท้าย

หลังจากบอลออกไปจากห้องแล้ว ก็เหลือผมกับป้องตามลำพังสองคนเท่านั้น เวลานี้ใจผมเริ่มเต้นตุ้มๆต่อมๆ ชนิดที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความดีใจและตื่นเต้นที่ได้เจอป้อง กับความโกรธเคืองและความน้อยอกน้อยใจที่ป้องได้ทำกับผมอย่างเจ็บแสบ

"มีอะไรก็ว่ามา จะได้จบๆและรีบกลับไปซะที" ผมพูดขึ้นมา

"ขอโทษนายที่ได้ทำให้โกรธและเสียใจ แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆ เราไม่โทษใครทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นความผิดของเราเอง เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เรากับเพื่อนได้พนันกันเอาไว้ ใครจะจีบฟางติดก่อนกัน ถ้าแพ้จะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวและเหล้าที่กู๊ดวิว อีกอย่างเราก็สับสนไม่แน่ใจตัวเองว่า เราเป็นเกย์หรือไบเซ็กส์ชวล กันแน่ เราเลยรับคำท้าโดยที่ไม่คิดมากอะไร เพราะเราแน่ใจว่า ยังไงเราก็ไม่ชอบผู้หญิงแน่ๆ แต่พอได้ใกล้ชิดกับฟางแล้ว เรากลับค้นพบตัวเองว่า เราไม่ใช่เกย์ เราก็ชอบผู้หญิงเหมือนกัน พอฟางเริ่มมีใจให้เรา เรากลับสงสารเธอ ไม่อยากจะทิ้งเธอ" ป้องสาธยายความรู้สึกและเหตุผลส่วนตัว

"เรารู้สึกทุเรศ สมเพช และขยะแขยงนายจริงๆ พูดออกมาได้ว่า สงสารฟาง แล้วเราล่ะ? นายไม่สงสารเราบ้างเหรอ? เรามาก่อนยัยนั่น ทำไมนายไม่เห็นให้ความสำคัญอะไรเลย เราก็มีหัวใจนะ รักเป็น เจ็บเป็น เสียใจเป็น นายทำเหมือนกับว่า เราเป็นแค่วัตถุสิ่งของที่ใช้ระบายความใคร่ของนาย พอน้ำกามแตกแล้ว นายก็สะบัดหน้าเดินหนีไปเฉยๆ มาหลอกให้เรารักจนหัวปักหัวปำ พอเบื่อแล้วก็สลัดทิ้งอย่างเลือดเย็น" ผมตัดพ้อต่อว่าป้อง เวลานี้น้ำตาของผมเริ่มไหลออกจากตา ณ เวลานี้ผมไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป

"เรายังไม่ได้พูดซักหน่อยว่า เราจะทิ้งนาย เรากับนายก็ยังเป็นผัวเมียกันอยู่ เพียงแต่ว่า เราอาจจะแบ่งใจอีกส่วนและแบ่งเวลาเผื่อฟางบ้าง คือ เราขออนุญาตมีแฟนผู้หญิงนะ เรามีแฟน 2 คน แฟนผู้ชาย คือ นาย ส่วนแฟนผู้หญิง คือ ฟาง" ป้องพูดเชิงต่อรอง

ผมอยากจะแหกปากร้องตะโกนออกมาดังๆ หลังจากที่ได้ยินป้องพูดออกมา คนอะไรใจคอโลเล จับปลาสองมือ เหยียบเรือสองแคม รักพี่เสียดายน้อง อยากเก็บเธอเอาไว้ทั้งสองคน ผมเกลียดนักคนประเภทนี้

"ตั้งแต่เกิดมา เรายังไม่เคยเจอใครที่เห็นแก่ตัวเหมือนนาย เราไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร เรารับไม่ได้จริงๆ" (ตรูไม่ใช่ ดร. วิกันดา นะ ที่จะได้มานั่งปั้นหน้าเฉิ่ด-เริ่ด-หยิ่ง นั่งนิ่งเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น)

"นายจะเอาอะไรหนักหนา หัดเข้าใจอะไรง่ายๆบ้างซิ ดีแค่ไหนแล้วที่เราไม่ทิ้งนาย" ป้องพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย

"พูดออกมาได้ว่า จะไม่ทิ้งเรา ที่นายทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ทิ้งมันก็เหมือนทิ้ง แล้ววันที่เจอกันในร้านเย็นตาโฟ ล่ะ? นายบอกเราหน่อยซิว่า ทำไมนายถึงได้ทำหมางเมินไม่ทักทายพูดจากับเรา ทำเหมือนว่าไม่เคยรู้จักกับเรามาก่อนอย่างนั้น และตั้งแต่วันนั้นมา เคยมีบ้างไหมที่นายจะมาหาเราที่นี่หรือไม่ก็โทรหาเรา? ข้าวใหม่ปลามัน คงจะมันส์มากละซิ ถึงปลีกตัวมาหาเราไม่ได้" เวลานี้ผมปล่อยโฮออกมาเต็มๆ น้ำตาไหลนองออกมาจากสองตา เลอะเต็มหน้า

ป้องนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไร ไม่ถึงวินาที ป้องเดินเข้ามากอดผม พร้อมกับพูดกระซิบข้างๆหูว่า "เราขอโทษนายนะ เรามันเลวจริงๆ"

ผมผละตัวออกจากป้อง พร้อมรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ โดยปิดกระแทกประตูห้องน้ำเสียงดังลั่นและลงกลอนเสร็จสรรพ

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนหมดก๊อก ครั้งนี้ผมจะร้องให้จนจุใจทีเดียว หลังจากนั้นผมจะไม่ยอมร้องให้เสียน้ำตาให้กับผู้ชายเฮงซวยคนนี้อีกต่อไป


...................................................


ปัง..... ปัง..... ปัง....... เสียงทุบประตูห้องน้ำดังขึ้น

"กันต์... นายเป็นอะไรหรือเปล่า? นี่นายเข้าไปในห้องน้ำนานมากเลย" ป้องร้องเสียงดังเหมือนจะเป็นห่วง

"อย่ามายุ่งกับเราได้ไหม นายออกจากห้องเราไปได้แล้ว จะไปไหนก็ไป" ผมตะโกนขึ้นมา

"ถ้านายทำธุระของนายในห้องน้ำเสร็จแล้ว ช่วยออกมาก่อนได้ไหม? เราอยากจะเข้าห้องน้ำ" ป้องตอบกลับ (ไอ้บ้าป้อง นึกว่าจะเป็นห่วงตรู ที่ไหนได้อยากจะใช้ห้องน้ำนี่เอง ตรูอุตส่าห์แอบดีใจ หลงนึกว่ายังแคร์ความรู้สึกของตรู ไอ้เลว)

ผมเดินปาดน้ำตาออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกับเดินไปล้มตัวนอนที่บนเตียง น้ำตาของผมยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง

ผ่านไปได้ซักพัก ป้องเดินออกจากห้องน้ำ และมานั่งข้างๆผม ป้องใช้มือลูบบริเวณขมับของผมลากยาวมาที่แก้ม

"นายจะโกรธจะเกลียดเรามากแค่ไหน เรายินดีรับเอาไว้ทั้งหมด แต่อยากให้นายรู้เอาไว้ว่า เรารักและห่วงหวงนาย เรามันเลวมากที่ทำกับนายในร้านเย็นตาโฟวันนั้น และก็หายหน้าปัดความรับผิดชอบไป ขอโทษนะ ที่เราสำนึกผิดช้าไปมาก" ป้องก้มลงจูบเบาๆที่แก้มของผม


ผมยังคงอยู่ในอาการสะอึกสะอื้นไม่พูดไม่จา (ตรูก็แอ็คติ้งซะ... นางเอ๊ก... นางเอก ดราม่าสุดๆ)

"คืนนี้เราจะนอนค้างกับนายที่นี่ เราเป็นห่วงไม่อยากปล่อยนายไว้คนเดียว" ป้องพูดขึ้นมา

"ไม่จำเป็น เราดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องการความสงสารและเห็นใจจากใคร โดยเฉพาะคนสองจิตสองใจ มาหาเราแบบนี้ ยัยกองฟางกองฟืนสุดที่รักของนาย ไม่ว่าเอาหรือ? แล้วนายยังจะอยากมานอนค้างกับเราอีก แบบนี้หล่อนต้องมาอาละวาดแหกอกเราแน่ๆ โทษฐานที่ไปเบียดบังเวลาข้าวใหม่ปลามันของนายและหล่อน" ผมพูดกระแหนะกระแหน

"วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ฟางกลับบ้านที่ลำปาง กว่าจะกลับมาก็เช้าวันจันทร์" ป้องตอบอย่างซื่อๆ (พอฟังคำตอบที่หลุดออกมาจากปากไอ้บ้าป้องแล้ว ตรูอยากจะร้องกรี๊ดลั่นสนั่นตึก และอยากจะเอาหัวโขกกับขอบเตียงให้หายบ้ากันไปข้างหนึ่ง)

"ออกไปจากห้องเราเลยนะ เราไม่อยากเห็นหน้านายอีกต่อไป นี่ถ้ายัยกองฟางกองฟืนไม่กลับบ้าน นายคงไม่มาหาเราใช่ไหม?" ผมปาหมอนใส่ป้อง

ป้องนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไร (สงสัยตรูคงจะพูดแทงใจดำแน่ๆ) จากนั้นก็โน้มตัวลงนอนข้างๆผม

ผมกับป้องต่างก็นอนนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไรกัน ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาคั่นกลางระหว่างเรา

"กันต์...... เราไม่รู้จะพูดอธิบายหรือแก้ตัวกับนายยังไงดี อย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่ชื่อ ป้อง คนนี้ ยังรักนายและแคร์ความรู้สึกของนายอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เรามีคนใหม่อีกไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เราก็ยังไม่เคยรู้สึกผูกพันธ์แนบแน่นสนิทใจแบบที่รู้สึกกับนายมาก่อน" ป้องใช้แขนโอบกอดผมและลากตัวผมเข้ามาแนบชิดกับตัวของเขา

"แต่เราเกลียดคนสองจิตสองใจ เราอยากเป็นเพียงแค่คนเดียวในหัวใจเท่านั้น เราไม่อยากแบ่งแฟนกับใคร นายเข้าใจไหม? ถ้านายอยากจะให้เราแบ่งกันกินแบ่งกันใช้น้ำอสุจิของนายกับยัยกองฟืนนั่น เราขอเป็นฝ่ายไปอย่างสมศักดิ์ศรีดีกว่า เราจะไม่บังคับให้นายต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่ง" ผมพูดกึ่งๆยื่นคำขาด

ผมพยายามขัดขืนโดยการแกะมือของป้องออก แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ป้องยิ่งกอดรัดผมแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องปล่อยเลยตามเลย (ซึ่งใจจริงแอบดีใจอยู่นิดๆ แต่การแสดงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตรูยอมรับว่าเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจเอามากๆ)

ป้องยื่นจมูกมาหายใจรดที่หลังใบหูของผม ลมหายใจอุ่นๆอ่อนๆจากจมูกของป้องทำให้ขนของผมลุกซู่ด้วยความเสียวซ่านนิดๆ

ป้องได้ทีเลยใช้ปลายจมูกสูดดมปนไซร้ตรงใต้ใบหูและลากยาวมาที่ซอกคอของผม ผมพยายามขัดขืนแต่ป้องกลับใช้แขนกอดรัดและล็อคตัวผมเอาไว้อย่างแน่นหนา

เวลานี้อารมณ์ของผมกระเจิดกระเจิงเพราะความเสียว จนลืมความถือเนื้อถือตัว เจ้าทิฐิไปชั่วขณะ ยิ่งเห็นผมนิ่งเงียบไม่ต่อสู้ขัดขืนใดๆ ยิ่งทำให้ป้องได้ใจใช้มือถอดเสื้อยืดของผมออก พร้อมกับก้มไปเลียและดูดหัวนมของผมอย่างเมามันส์ ส่วนผมนั้นก็นอนนิ่งเฉยไม่ทำอะไรทั้งสิ้น (ก็มันเสียวนี่ และขี้เกียจด้วย คราวนี้ตรูจะแกล้งให้ป้องต้องเป็นฝ่ายตีเองชงเองเล่นเองซะบ้าง แต่ไม่เสียวเอง เพราะเราทั้งสองเสียวด้วยกัน)

ปากของป้องดูดเลียหัวนมทั้งสองของผมอย่างเพลิน จากนั้นป้องก็ใช้มือทั้งสองข้าง ถลกกางเกงและกางเกงในของผม ทิ้งลงจากเตียง จนผมอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

พอดูดหัวนมของผมจนหนำใจแล้ว ป้องก็ลากลิ้นจากหัวนมผ่านบริเวณหน้าอกของผม ลงมาที่ตรงสะดือ ป้องลากลิ้นเลียวนสะดือ ผมรู้สึกเสียวจนแท่งตอปิโดของผมแข็งโด่ตั้งตรงอย่างรวดเร็ว

ป้องใช้มือรูดแท่งตอปิโดของผม ขึ้นๆลงๆอย่างช้าๆ จากนั้นก็เร่งสปีดความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมครางออกมานิดๆด้วยความเสียว

ป้องลากปลายจมูกลงมาซอนไซร้ที่ขนหะมอยอันดกดำของผม จากนั้นก็อ้าปากอมแท่งตอปิโดของผมจนมิดลำ (นี่เป็นครั้งแรกที่ป้องถวายบัวให้ผม)

ป้องพยายามใช้ปากดูดและรูดแท่งตอปิโดของผมขึ้นๆลงๆ แต่ด้วยความที่ยังใหม่ต่อการถวายบัว เลยทำให้บางครั้งฟันของป้องไปกระทบกับหัวและลำโคนแท่งตอปิโดของผม แทนที่จะเสียวกลับกลายเป็นเจ็บนิดๆ

ผมพยายามถอดแท่งตอปิโดออกจากปากของป้องก่อนที่แท่งตอปิโดจะได้รับความเสียหายมากไปกว่านี้จากฟันของป้อง

เมื่อแท่งตอปิโดของผมออกจากปากของป้องแล้ว ป้องก็จัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด

ป้องใช้มือรูดๆท่อนเอ็นของตัวเอง ให้แข็งสุดๆเพื่อจะได้ออกรบอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องถ่มน้ำลายใส่มือจนเปียกโชก จากนั้นก็ใช้มือที่เปียกน้ำลายทาถูตรงท่อนเอ็น และตรงบริเวณปากเข้าถ้ำแก้วของผม ก่อนที่จะปล่อยเจ้าท่อนเอ็นเข้าสู่ถ้าแก้วของผม ป้องสอดนิ้วชี้แยงๆเข้าไปในถ้ำแก้วเพื่อเป็นการเบิกทาง (ผมขี้เกียจและไม่มีอารมณ์ไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ลิ้นชักตรงข้างหัวเตียง)

ป้องยกขาข้างขวาของผมขึ้นพาดบนบ่าของตัวเอง พร้อมกับจ่อท่อนเอ็นพร้อมทะลุทะลวงรูดากของผม ป้องเริ่มดันท่อนเอ็นเข้ารูดากของผมจนมิดลำ ผมรู้สึกเจ็บและแสบมากๆ เหมือนกับว่ารูดากของผมนั้นคับแน่นจนจะปริแตกออกมา (ที่รู้สึกแบบนั้น คงเป็นเพราะว่า ไม่ได้ใช้เจลหล่อลื่นซึ่งช่วยให้กล้ามเนื้อผิวหนังบริเวณนั้นมีความยืดหยุ่นผ่อนคลาย)

ป้องกระเด้าท่อนเอ็นเข้าๆออกๆภายในรูดากของผมอย่างเมามันส์และเร็วๆรัวๆจนไม่เป็นจังหวะ (ไม่รู้ว่าไปอดอยากปากแห้งมาจากไหน)

ป้องครวญครางออกมาด้วยความเสียว ส่วนผมนั้นครวญครางออกมาด้วยความเจ็บแสบรูดาก ชนิดที่รู้สึกได้ว่า เลือดออกแน่ๆ

ซักพักป้องเร่งจังหวะเร็วจนชนิดที่ว่าเตียงสั่นโยกไปหมด จนในที่สุดน้ำเงี่ยนของป้องก็แตกคารูดากของผม เมื่อป้องถอดท่อนเอ็นออกแล้ว ก็มีน้ำอุ่นๆเหลวๆไหลเยิ้มออกมาจากภายในรูดากของผม เปรอะเปื้อนบนผ้าปูที่นอนของผมเต็มไปหมด ผมลองเอามือแตะๆดู ปรากฏว่าเป็นคราบเลือด

"นายเป็นอะไรหรือเปล่า ดูหน้าซีดเชียว เราขอโทษด้วยที่ทำให้นายเจ็บ" ป้องถามผมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

"ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ผ้าปูที่นอนใหม่อยู่ในตู้เสื้อผ้าตรงชั้นใต้สุด นายช่วยปูเตียงให้เราด้วยนะ" ผมดึงผ้าปูที่นอนออก พร้อมกับเดินไปเข้าห้องน้ำ

คืนนี้ผมนอนหลับในอ้อมแขนของป้องที่โอบกอดผมไว้ทั้งคืน ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมไม่ได้วีนหรืออาละวาดกับป้องอย่างสุดๆไปเลย เหมือนที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก

แต่ ณ เวลานี้ ความรู้สึกที่ผมมีให้กับป้อง ตลอดจนความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง มันคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว (จากมุมมองและการตัดสินใจของผมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง ส่วนมุมมองของป้องนั้น ผมไม่รู้ว่าป้องคิดและตัดสินใจอย่างไร)


........................ เช้าวันรุ่งขึ้น ...................

ผมลืมตาตื่นขึ้นมา หันไปดูข้างๆไม่เห็นป้อง พอชะโงกหน้าออกมาดูตรงโต๊ะทีวี ปรากฏว่า ป้องยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงห้อง

"ตื่นแล้วเหรอ แล้วตูดนายเป็นอย่างไรบ้าง ค่อยยังชั่วขึ้นมาหรือยัง หรือว่ายังเจ็บอยู่? เลือดไม่ออกแล้วใช่ไหม?" ป้องพูดทักทายผม (ช่างเป็นคำพูดทักทายในยามเช้าที่แปลกพิลึกหูทะแม่งๆยังไงก็ไม่รู้)

"บ้า....... พูดเรื่องอะไร ก็ใครนั้นแหละที่เป็นคนทำ ยังมีหน้ามาถามอีก" ผมทำหน้าเคืองๆใส่ฝ่ายตรงข้าม

"นายรีบไปอาบน้ำก่อนละกัน เดี๋ยวเราค่อยอาบทีหลัง พออาบเสร็จจะได้ออกไปกินข้าวกัน นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว ตอนแรกเราว่าจะพานายไปกินข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง แต่เห็นสภาพตูดนาย เราเปลี่ยนใจขอพอนายไปกินก๋วยเตี๋ยวหรืออะไรที่อ่อนๆไม่รสจัดจนเกินไป เวลานายเข้าห้องน้ำจะได้ไม่ปวดแสบปวดร้อนมาก" ป้องแซวผมอย่างอารมณ์ดี

"ที่นายพูดนี่ใช้ปากหรืออะไรพูด? ไม่ตลกเลยนะ อย่าคิดว่าพอทำให้เรายิ้มได้หัวเราะได้ แล้วเราจะลืมคดีความที่นายได้ทำเอาไว้กับเราอย่างสาสม" ผมแกล้งทำหน้าโกรธๆงอนๆใส่ป้อง (แต่ในใจยังแอบยิ้มนิดๆ ตรูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เขาทำให้เจ็บใจขนาดนั้น และล่าสุดเมื่อคืนที่แล้ว ยังทำให้เจ็บจนประตูหลังเกือบพัง ตรูก็ยังโกรธไม่ลง หรือโกรธได้ไม่เต็ม 100% อีก)

ในขณะที่ผมกำลังเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวนั้น......

กริ๊ง.... กริ๊ง..... กริ๊ง ..... เสียงโทรศัพท์ที่หัวเตียงดังขึ้นมา ผมเดินไปรับสาย

"ฮัลโหล นั่นใครพูดครับ?" ผมเอ่ยถามเสียงจากปลายสาย

"ไอ้กันต์... นี่กูเอง พัฒน์.... หายไปเลยนะมึง ไม่โทรหากูบ้างเลย กูอุตส่าห์คิดถึงมึงตลอดเวลา ถ้ากูไม่โทรมาหา มึงคงลืมกูเลยละซิ" ไอ้พัฒน์ทักทายผมด้วยการบ่นตามสไตล์ของมัน

"กูก็คิดถึงมึง ไอ้พัฒน์... ขอโทษด้วยที่กูหายหน้าหายตาไม่ได้ติดต่อกับมึง โกรธกูไหมนิ?" ผมแกล้งพูดเสียงดังเพื่อให้ใครบางคนได้ยิน (คราวนี้ถึงทีตรูบ้าง จะได้พิสูจน์ใจใครบางคนว่า จะแคร์ จะหึงหวง ตรูไหม?)

"ใครจะโกรธมึงได้ลงคอ แค่กูรู้ว่ามึงคิดถึงกูๆก็ดีใจแล้ว กูอยากเย็ดมึงมากๆเลยรู้ไหม?" ไอ้พัฒน์หยอดคำหวานพร้อมกับแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนออกมา

"ไอ้บ้า.. พูดได้ไม่อายปากเลยนะมึง แล้วมึงรู้เบอร์โทรที่คอนโดกูได้ยังไง?" ผมถามอย่างสงสัย

"มึงเคยให้เบอร์โทรบ้านมึงที่เชียงของไว้ พอกูโทรไป แม่มึงรับสายพอดี กูเลยได้เบอร์ของมึงมา"

"ตอนนี้มึงอยู่ที่ปัตตานีหรือว่ากลับบ้านมึงที่หาดใหญ่?"

"กูอยู่บ้านที่หาดใหญ่ มึงก็รู้ว่า วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ กูเคยอยู่ในมอที่ไหน เงียบวังเวงมาก สู้กลับหาดใหญ่ไปดูแสงสีเสียงจะดีกว่า ที่กูโทรมาหามึง กูมีข่าวดีจะบอก อีกประมาณ 2 อาทิตย์ กูจะขึ้นมาหามึงที่เชียงใหม่ และจะอยู่เที่ยวซักอาทิตย์กว่าๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงปีใหม่พอดี กูเลยโดดเรียนนานๆได้" ไอ้พัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นดีใจ

"จริงหรือ? มึงต้องขึ้นมาจริงๆนะ อย่าโกหกเด็ดขาด ถ้ามึงโกหก กูโกรธจริงๆด้วย มึงมาพักกับกูได้เลย กูจะพามึงร่อนทั่วเชียงใหม่ และพามึงไปเที่ยวบ้านกูที่เชียงของ" ผมแกล้งพูดเน้นย้ำดังๆตรงประโยคเกี่ยวกับ เชียงของและแม่น้ำโขง เพราะใครบางคนเคยบอกให้ผมพาไปเที่ยว พอผมจะพาไป กลับบอกไม่ว่างอ้างติดโน่นนี่สารพัด (ตอนที่เขากำลังตามจีบกองฟางใหม่ๆ)

ป้องหันมามองผมด้วยสายตาสงสัยและครุ่นคิด

"ได้เลย ขอบใจว่ะ รับรองกูไม่พลาดแน่นอน อีกอย่าง มึงอย่าลืมเตรียมก้นขาวๆอวบๆเด้งๆของมึงเอาไว้เผื่อเจี๊ยวของกูด้วยนะ" ไอ้พัฒน์พูดจาทะลึ่งทะเล้น

พอผมคุยโทรศัพท์กับไอ้พัฒน์เสร็จเรียบร้อย และกำลังจะวางสาย...


ก๊อก.... ก๊อก... ก๊อก... เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ป้องรีบเดินไปเปิดประตู

"นึกว่าใคร ที่แท้.. คุณแว่นนี่เอง ผมว่าคุณมาช้าไปนิดหนึ่ง ไม่ทันอีกคนที่โทรศัพท์มาปาดหน้าคุณไปแล้ว" ป้องพูดจาเล่นลิ้นกับบอล พร้อมกับหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

"นายพูดอะไรของนาย ไม่เข้าใจ และไม่อยากถือสาคนอย่างนายด้วย หลีกไป... เรามาหากันต์" บอลผลักประตูมาโดนป้อง และรีบเดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

"มีอะไรเหรอบอล? เมื่อคืนนอนหลับสบายดีนะ?" ผมทักทายบอล

บอลพยักหน้า และพูดต่อไปว่า "เราจะมาเอาม้วนเกมส์และม้วนวีดีโอไปส่งคืนที่ร้าน วันนี้ครบกำหนดส่งพอดี แล้วนายละ รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม?"

ผมยิ้มให้บอล

"ได้ของแล้ว ก็รีบไปซิว่ะ จะมายืนเกะกะขวางหูขวางตาอยู่ทำไม? หรือว่าอยากจะมีเรื่องต่อจากเมื่อคืน พี่พร้อมทุกเมื่อเลยนะไอ้น้อง นี่คงจะไปกินนมอิ่มมาแล้วซิ ถึงได้กล้ามาท้าทายถึงที่นี่" ป้องเริ่มทำตัวกร่างๆ

บอลรีบเดินออกจากห้องไป โดยที่ไม่พูดจากับผมเลยซักคำ จากสีหน้าท่าทางของบอล ผมพอจะดูออกว่า บอลต้องโกรธหรือน้อยใจอะไรผมซักเรื่อง

"เดินออกห้องไปเฉยเลย คงจะมาเห็นภาพตำตาว่า ผัวเมียยังดีกันอยู่ ถึงขั้นรับไม่ได้เชียว" ป้องพูดเยอะเย้ยบอลทิ้งท้าย

ผมส่ายหัวและจ้องมองป้องด้วยความเบื่อหน่าย

"เมื่อกี้ใครโทรมาหรือ? ชู้รักคนที่เท่าไหร่? จู๋และตูดเลื่อมทองจริงๆ ถึงได้มีคนมาติดพันธุ์อยากจะสมสู่มากขนาดนี้ เห็นได้ยินว่าจะพากันไปเที่ยวบ้านด้วย ทีกับเราละก็ ไม่เห็นจะพาไปเลย" ป้องชักจะทำตัวกวนบาทาต่อเนื่องเข้าไปทุกที

"ก่อนที่นายจะพูดอะไร หรือพูดถึงใครนะ นายหัดดูตัวเองบ้างซิ พูดออกมาได้ว่า เราไม่อยากจะพานายไปเที่ยวที่บ้านเรา เราเคยชวนนายตั้งหลายครั้งแล้ว ทั้งชวนทั้งขอร้องอ้อนวอนจนแทบจะกราบงามๆตรงที่เท้าของนาย แต่นายก็อ้างว่าไม่ว่าง ติดทำรายงานอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง ที่แท้ก็เอาเวลาไปพรอดรักกับยัยกองฟาง" ผมตอกกลับจนฝ่ายตรงข้ามถึงกับเถียงไม่ออก

ป้องยังคงอยู่กับผมและนอนค้างกับผมอีกคืนหนึ่ง พอกองฟางกลับมาจากบ้าน ผมก็ไม่ได้เจอป้องอีกเลย เขาหายหน้าหายตาไป ไม่มีแม้แต่จะโทรมาคุย

สำหรับผมแล้ว พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกพิเศษที่เคยมีให้แก่ป้อง นับวันมันก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ส่วนจิตใจก็ค่อยๆกลับคืนมาเหมือนเดิม

ส่วนบอลนั้น ดูเหมือนว่าเขาพยายามจะหลบหน้าหลบตาผม โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร? เวลาเจอกันโดยบังเอิญที่ใต้คอนโด ก็พูดทักทายกันแบบ ถามคำตอบคำ เหมือนกับคนที่รู้จักแบบผิวเผิน

ก๊อก...... ก๊อก...... ก๊อก.......
ผมยืนเคาะประตูหน้าห้องบอล ผมอยากจะรู้ว่า เพราะอะไรบอลถึงทำหมางเมินไม่พูดไม่จากับผม ไม่มาคุยกับผมที่ห้องเหมือนเมื่อก่อน ?

"นายนั่นเอง มีอะไร? วันนี้มาหาเราถึงที่ห้อง ร้อยวันพันปีนายไม่เคยมาหาเราที่ห้องเลย" บอลพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา (มันก็ถูกของบอลนะ เพราะตั้งแต่คบกันมา ผมมาหาบอลที่ห้องยังไม่ถึง 5 ครั้ง ส่วนใหญ่บอลเป็นฝ่ายมาหาผมที่ห้องมากกว่า ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ผมรู้สึกเขินอายและยึดติดกับความคิดบ้าๆว่า กลัวบอลเข้าใจผิดหาว่า ผมมาอ่อยถึงที่)

"เราอยากจะคุยกับนาย ช่วงนี้ไม่เห็นนายมาเล่นที่ห้องเราเลย พอเจอกันนายก็ทำท่าทางเหมือนไม่อยากคุยกับเรา เราขอเข้าไปคุยกับนายในห้องได้ไหม?" ผมยืนคุยกับบอลอยู่ที่ประตูห้อง

บอลไม่พูดไม่จา โดยทำทีพยักหน้าเชิญผมเข้ามาในห้อง

"ทำไมช่วงนี้นายถึงไม่อยากพูดกับเรา เวลาเจอเราก็พยายามหลบหน้าตลอด เราทำให้อะไรให้นายโกรธหรือไม่พอใจ?" ผมพยายามถามคาดคั้นเอาความจากบอล

บอลยังคงนิ่งเงียบทำท่าทางไม่สนใจในสิ่งที่ผมถาม

"นายไม่ได้ยินที่เราถามเหรอ? บอกเรามาซิ เราทำอะไรไม่ถูกใจนาย นายถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้" ผมพยายามคาดคั้นคำตอบจากบอล

บอลส่งสายตาที่ไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น มาให้ผมแทนคำตอบ

ผมเริ่มจะหัวเสียนิดๆกับกริยาที่บอลทำใส่ผม ผมจึงเดินไปหาบอลที่ยืนพิงประตูหลังห้องตรงระเบียง (ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงประตูหน้าห้อง) ขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไปหาบอลนั้น เท้าของผมได้เดินเตะกล่องลังกระดาษใบเล็กๆที่อยู่บนพื้นห้องใกล้กับโต๊ะอ่านหนังสือของบอล โดยอุบัติเหตุ ทำให้ลังกระดาษใบนั้นคว่ำและหนังสือที่อยู่ข้างในกระจัดกระจายออกมากองกับพื้น

เมื่อเห็นหนังสือทั้งหมดที่อยู่ข้างในกล่อง ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือยอดนิยมชาวสีม่วง(ในยุคนั้น)เช่น นีออน มรกต วีคเอ็นด์แมน ฮีท เมล มิถุนา และห้องห้าเหลี่ยม

คิดไม่ถึงจริงๆว่า บอลจะมีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกับผม แต่ไม่แสดงอาการออกมาให้จับผิดได้เลยแม้แต่น้อย (ถ้าสมัยนี้คงเรียกว่า "แอ๊บได้เนียนมาก")

สีหน้าของบอลในตอนนี้ถึงกับเหวอ ไม่กล้าสู้หน้าผม แถมยังเดินออกมายืนอยู่ที่ระเบียงห้องเหมือนกับจะเป็นการสงบสติอารมณ์หรือตั้งหลัก

"ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะเตะจนทำให้ลังกระดาษล้มลงจริงๆ เรากำลังจะเดินเข้ามานาย เพื่อถามให้เคลียร์ว่า ทำไม? เพราะอะไร? แต่มันดันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาก่อน" ผมพยายามพูดให้บอลเข้าใจ

บอลยังคงไม่ยอมพูดกับผม

"นายไม่ต้องกลัวหรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องหนังสือในกล่องนั้นนะ เพื่อความสบายใจของนาย เราจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่รับรู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น" ผมพยายามพูดและเอามือลูบลงบนแผ่นหลังของบอล เพื่อให้บอลสบายใจ

"เราไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นถ้านายยังโกรธเราอยู่ หรือไม่ยอมให้อภัยเรา แต่เราขออะไรนายอย่างหนึ่งได้ไหม? เราอยากรู้ว่า ทำไมนายถึงโกรธและทำท่าทางไม่พอใจเรา? เราอยากรู้แค่นี้เท่านั้นเอง พอได้คำตอบแล้ว เราจะรีบออกไปจากห้องนายให้เร็วที่สุด และจะไม่โผล่หน้ามาสร้างความรำคาญให้นายอีกต่อไป" ผมพูดขอร้องบอล

"ไอ้บ้าเอ่ย!!! แค่นี้นายยังดูไม่ออกอีกหรือว่าทำไมเราถึงได้แสดงออกแบบนี้กับนาย? นายแกล้งโง่หรือว่าโง่จริงๆ?" บอลกัดฟันพูดกับผมอย่างกล้าๆกลัวๆ

"นายหมายถึงอะไร? เราไม่เข้าใจที่นายพูดเลยนะ" ผมทำหน้ามึนงง

"จะเข้าใจหรือไม่ก็แล้วแต่นาย เราถือว่าเราได้บอกเหตุผลที่นายอยากรู้ให้นายฟังแล้ว ถ้าไม่มีอะไรขอเชิญนายออกจากห้องเราไปได้" บอลพูดเสียงแข็ง แต่เท่าที่ดูจากสีหน้าและท่าทางแล้ว มันช่างแตกต่างจากน้ำเสียงอย่างสิ้นเชิง

พอบอลพูดจบ ผมชักจะเริ่มมองเกมส์ออกแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาของทั้งสองฝ่าย และต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียหรือจะต้องอาย อีกต่อไป ดังนั้นผมจึงค่อนข้างจะแน่ใจมั่นใจที่จะพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่สงวนท่าที

"นายชอบเราใช่หรือเปล่า?"

บอลใช้สายตาตอบคำถามแทนคำพูด พร้อมกับเดินเข้ามาในห้อง ผมเดินตามบอลเข้ามาอย่างกระชั้นชิด

"ครั้งแรกที่เราเจอนาย หน้าตาท่าทางรวมทั้งความเป็นตัวของนายเองสะดุดตาและสะดุดใจเรามาก แต่สิ่งที่เป็นช่องว่าง เป็นกำแพงขวางกั้นไม่ให้เราใกล้ชิด ศึกษานิสัยใจคอและความรู้สึกนึกคิดของนายได้คือ เราหลงคิดว่า นายไม่ได้มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกันเหมือนกับเรา ดังนั้นเราเลยไม่ได้ให้ความสนใจนายมากไปเกินกว่าคำว่า เพื่อน" ผมใช้มือลูบไหล่บอลเบาๆ

บอลมองหน้าผมด้วยสายตาที่ลดความแข็งกร้าวลงอย่างสิ้นเชิง

"เราว่า.... เรากลับก่อนจะดีกว่า เผื่อว่านายอยากอยู่คนเดียว" ผมไม่รู้จะวางตัวอย่างไรและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่านี้

"นายนี่ช่างเป็นคนที่ใจร้ายใจดำจริงๆนะ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นบ้างเลย" บอลตัดพ้อต่อว่าผม

"นายพูดอะไรของนาย? ตกลงนายอยากจะให้เราอยู่เป็นเพื่อนนายในห้อง หรือนายอยากจะให้เราไสหัวออกจากห้องไป? จะเอาอะไรก็เอาให้มันแน่ซักอย่างหนึ่งได้ไหม มัวแต่อ้ำอึ้งไม่พูดไม่จา ใช้สายตาแทนคำพูดแบบนี้ ใครมันจะไปเดาใจได้ถูกว่า นายต้องการอะไรกันแน่ แค่เปิดปากพูดออกมานี่มันลำบากยากเย็นมากนักใช่ไหม?" ผมเริ่มจะหัวเสียขึ้นมาอย่างลืมตัว (งอนเหมือนผู้หญิงจริงๆ บอลเอ๋ย... )

"ออกไปจากห้องเราได้แล้ว เราไม่อยากเห็นหน้านาย ไอ้บ้า" บอลชี้มือไปที่ประตูห้อง

"เราต้องขอโทษด้วยที่เผลอตัวขึ้นเสียงกับนาย เราไม่ได้มีตั้งใจจะทำแบบนั้นเลย คือมันลืมตัว ถ้านายต้องการอย่างนั้น เราก็จะออกไปจากห้องเพื่อความสบายใจของนาย"

ผมกำลังจะหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตูห้อง ปัง.... ปัง... เสียงตบโต๊ะดังขึ้นมาทันทีทันใด

บอลตบโต๊ะด้วยฝ่ามืออย่างสุดแรงเกิด ผมรีบเดินเข้าไปห้าม

"หยุดได้แล้ว! เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก" ผมใช้มือทั้งสองข้างจับตัวบอลไว้อย่างแน่น

สายตาของผมกับบอลจ้องประสานกันอย่างลึกซึ้ง เวลานี้คงมีแค่ภาษากายกับภาษาใจเท่านั้นที่สามารถสื่อสารถึงกันได้มากกว่า

ผมคว้าตัวของบอลเข้ามาโอบกอด ซึ่งตัวของบอลเองนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด

เราทั้งสองกอดกันได้ซักพัก จากนั้นผมค่อยๆขยับปลายจมูกมาหอมที่แก้มของบอล และลากยาวมาไซร้ตรงซอกคอของบอล

บอลหลับตาเคลิ้มอย่างสบายตัว ผมใช้ริมฝีปากจูบประกบลงบนริมฝีปากของบอล เราทั้งสองจูบแลกลิ้นกันด้วยความเสน่หา
ผมจัดการถอดเสื้อผ้าของบอลออกจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน ผิวของบอลขาวใสมาก หัวนมทั้งสองข้างก็อมชมพูน่าดูดเลียซะเหลือเกิน บริเวณใต้สะดือก็น่ากินใช่ย่อย ตรงหัวหน่าวมีสาหร่ายเส้นดำยาวขึ้นหลอมแหลมพลอมแพลม ดูไม่รกเกะกะจนเกินไป ส่วนอวัยวะเพศนั้นเหยียบตรงเป็นลำสวยงามไม่อวบอ้วนจนเกินไปและก็ไม่ยาวมากจนน่าเกลียด ตรงหัวกระดอเปิดเป็นสีชมพูเข้มนิดๆ

ผมใช้ปากดูดเลียและขบกัดหัวนมของบอลเล่นอย่างเบาๆ โดยที่มือทั้งสองข้างนั้น จับคลำเครื่องเพศของบอลเล่นสนุกมือ มือขวาของผมสาวว่าวให้บอล และมือซ้ายก็ลูบกะโปก เล่นกับลูกชิ้นเอ็นทั้งสองลูก ยิ่งจับเครื่องเพศของบอลก็ยิ่งแข็งตัวเป็นจนลำเต็มไม้เต็มมือผม

"บอล... เราขอเอาตูดนายได้ไหม?" ผมกระซิบถามบอล

"เออ.. เรากลัว นี่เป็นครั้งแรกของเรา เราไม่เคยให้ใครเอามาก่อน" บอลพูดอย่างลังเล

"ไม่เป็นไร ถ้างั้น.. นายอยากจะเอาตูดเราไหม?" ผมถามแบบมีทางเลือกให้กับบอล

"เออ... เราเอาไม่เป็น ไม่เคยเอาใครมาก่อน นายเป็นคนแรกที่เปิดบริสุทธิ์เรา นายช่วยสอนเราหน่อยซิว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง?" บอลพูดอย่างตรงไปตรงมา (แจ๊คพ๊อตจริงๆเลยตรู ได้เป็นคนแรกที่เปิดซิงบอล)

"คราวหน้าเราจะสอนให้อย่างเต็มที่ รับรองอีกหน่อยนายต้องเป็นมืออาชีพแน่ คราวนี้เราขอชักว่าวให้นายและขอดูดจู๋นายให้หายอยากก่อนนะ" พอพูดจบ ผมจัดการอ้าปากครอบกระดอของบอลจนมิดลำ พร้อมกับใช้ริมฝีปากรูดกระดอของบอลขึ้นๆลงๆเป็นจังหวะจะโคน จนบอลหลับตาพริ้มด้วยความเสียว

ไม่ถึง 3 นาที บอลเริ่มครางเสียงดังขึ้น จนผมรู้สึกว่า ในปากของผมมีน้ำอุ่นๆหนืดๆคาวๆพ่นใส่เต็มปาก (แตกเร็วจริงๆพ่อคุณ แบบนี้เขาเรียกว่า "ล่มปากอ่าว" หรือเปล่า)

คราวนี้ก็มาถึงของผมบ้าง ผมไม่รอช้า รีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด เพื่อให้บอลสามารถรีดน้ำเงี่ยนออกจากแท่งตอปิโดของผมได้อย่างเต็มที่

"โอ้โห...... จู๋นายโคตรใหญ่จัง แบบนี้เราจะดูดได้ไหม? กลัวปากฉีกจังเลย" บอลแสดงอาการตื่นเต้นเมื่อเห็นแท่งตอปิโดที่แข็งโด่ของผม

บอลใช้ลิ้นเลียรอบๆหัวแท่งตอปิโดของผมที่ถอกออกมาจากปลายหนังหุ้ม จากนั้นก็ใช้มือสาวว่าวให้ผมอย่างเมามันส์ จนผมกลั้นความเสียวเอาไว้ไม่อยู่ ฉีดน้ำอสุจิใส่หน้าของบอลอย่างเต็มสตรีม

เมื่อเสร็จกามกิจแล้ว เราทั้งสองก็นอนกอดกันบนเตียง และพูดคุยเปิดความในใจต่อกันและกัน

"ที่เราทำอาการแบบนั้นใส่นาย เพราะ เราน้อยใจที่นายไม่สนใจใยดีต่อความรู้สึกที่เรามีให้นายเลย นายน่าจะดูออกนะว่า ที่ผ่านมาเราคิดยังไงกับนาย เราเข้าใจนะว่า ตอนนั้นนายยังเป็นแฟนกับป้องอยู่ แต่หลังจากที่นายเลิกกับเขาแล้ว นายน่าจะหันมามองคนที่ห่วงใยและแคร์นายบ้าง อีกอย่างคือ เรื่องของป้อง เราไม่ชอบใจที่นายเป็นคนโลเลไม่หนักแน่น ไม่เด็ดขาด" นั่นเป็นเหตุผลจากปากของบอล ที่ผมอยากได้ยินแต่แรก

.................................................................


~ ณ สถานีรถไฟเชียงใหม่ ~

ผมยืนรอขบวนรถไฟที่กำลังเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามอ่านทุกตอนมาตลอดคงจะพอเดาออกนะครับว่า ผมมารอรับใคร? สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ได้อ่านตอนก่อนหน้านั้น คงเดาไม่ออกแน่ๆ ไม่เป็นไรครับ ถ้าเดาไม่ออก เดี๋ยวผมจะเฉลยให้

ในระหว่างที่ยืนรอรับใครบางคนที่สถานีรถไฟ ผมขอเล่าเรื่องราวอัพเดทชีวิตประจำวันของผมตลอด 4-5 วันที่ผ่านมา (หลังจากได้เปิดซิงบอลแล้ว)

เรื่องระหว่างผมกับบอล หลังจากบอลได้เปิดอกพูดถึงความในใจและความรู้สึกที่มีต่อผมแล้ว ทำให้ผมเข้าใจบอลมากขึ้น และบอลก็เข้าใจผมเช่นกัน ส่วนเรื่องสถานะภาพความสัมพันธ์ เราทั้งสองต่างก็ตกลงและยินดีที่จะคงความสัมพันธ์เป็นแค่ "เพื่อน" ที่ดีต่อกันเท่านั้น (แต่มีข้อตกลงร่วมกันว่า ถ้าใครเกิดมีอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมา อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องสนองให้ทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น หรือเรียกง่ายตามศัพท์ภาษาฝรั่งที่กำลังฮิตอยู่ปัจจุบันนี้ว่า " friend with benefit" )
เพราะว่า ผมอยากจะพักใจซักพักหนึ่ง หลังกรำศึกหนักจากเรื่องของป้อง ผมยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดหัวใจตัวเองไว้กับใคร สำหรับบอลนั้น ก็ยังไม่มีประสบการณ์ ยังไม่ประสีประสาในเรื่องความรักมาก่อน

สรุปแล้วคงต้องให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน


มายืนรอรับใครบางคนที่สถานีรถไฟแบบนี้ บอลไม่ว่าหรือน้อยใจ?
คำตอบคือ เมื่อคืนที่แล้ว บอลเพิ่งกลับกรุงเทพฯเพื่อไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว (อีก 3 วันจะถึงวันปีใหม่แล้ว) จะกลับก็ต้นอาทิตย์หน้า (เวลาช่างอำนวยประจวบเหมาะซะเหลือเกิน สับรางรถไฟได้ดีมาก) และอีกอย่างผมกับบอลไม่ได้เป็นแฟนกัน ผมจะไปไหน มาไหน หรือทำอะไรกับใคร ก็ไม่ผิดใช่ไหม? (แต่ไม่บอกบอล หรือปล่อยให้บอลไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมยังไม่เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบอลมากพอ ดูเหมือนบอลจะเป็นคนอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้มากๆ ถึงมากที่สุด)


เมื่อขบวนรถไฟเข้าจอดเทียบสถานีปลายทาง และบรรดาผู้โดยสารต่างทยอยเดินออกจากตู้รถไฟ

"ไอ้กันต์... ไม่ได้เจอตั้งนาน มึงสบายดีนะ ดูหล่อขึ้นเป็นกองเลย" ไอ้พัฒน์กล่าวทักทายผม

"กูสบายดี มึงก็ยังหล่อ เท่ห์และกวนตีนเหมือนเดิม" ผมช่วยไอ้พัฒน์ถือกระเป๋าเดินทาง

"ถ้าไม่กวนตีนก็ไม่ใช่กูซิวะ โอ้โห.... ตูดมึงยังแน่นเด้งดึ๋งเหมือนเดิมเลย" ไอ้พัฒน์เอามือมาตบก้นผม

"ทะลึ่งนะมึง อายคนเขาบ้างซิ คนออกจะเต็มสถานี ยังเล่นพิเรนแบบนี้อีก" ผมดุไอ้พัฒน์ด้วยสีหน้าที่ยิ้มๆ

"แค่นี้ก็ต้องดุด้วย กูอุตส่าห์เหน็ดเหนื่อยเดินทางรอนแรม เพื่อมาเย็ด โอ๊ย.... ไม่ใช่!!! เพื่อมาเยี่ยมมึงที่นี่ น่าจะพูดกับกูหวานๆหน่อย" ไอ้พัฒน์แกล้งงอนใส่ผม

"พูดหวานๆก็ได้ขอครับ คุณพัฒน์... กระผมขอเชิญคุณพัฒน์ไปขึ้นรถทางนี้นะขอรับ" ผมพูดประชดประชัน

"เรื่องเล่าคาวน้ำกาม" 7

กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง... เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
"ฮัลโหล" ผมรับสาย ด้วยน้ำเสียงที่สะลึมสะลือเพราะเพิ่งตื่นนอน

"เมื่อคืนโทรไปทำไมไม่รับสาย?" เสียงขอป้องถามขึ้นมาอย่างสงสัย

"พาน้องรหัสไปเลี้ยง จากนั้นไปต่อที่จีจี้ โทรมาหาแต่เช้าเลยนะ คิดถึงเราหรือ?" ผมพูดอย่างอารมณ์ขัน (หายง่วงเลยตรู ต้องพยายามทำใจดีสู้เสือเอาไว้นะ)

"เช้าอะไร? นี่มันปาเข้าไปจะเที่ยงกว่าแล้ว คงจะกลับมาสว่างคาตาละซิ ถึงได้ตื่นเอาป่านนี้?" ป้องพูดน้ำเสียงเหน็บแนม (ผมมองดูนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง แอบตกใจเล็กน้อย ปล่อยไก่ไปหลายเล้าเลยตรูงานนี้)

"กลับมาตี 1 เอง เมื่อคืนปวดหัวเลยกินยาแก้ปวดเข้าไป เลยตื่นสายแบบนี้ ถามแบบนี้แสดงว่าหึงละซิ?" ผมพูดจาเล่นลิ้นฝ่ายตรงข้าม

"ไม่ได้หึง แต่ หวง หวงมากๆด้วย" ป้องพูดชนิดแอบซึ้งนิดๆ

"ปากหวานแบบนี้ อยากได้อะไรเป็นรางวัลดีละ?" ผมหยอกฝ่ายตรงข้าม

"รางวัลไม่อยากได้หรอก แต่อยากทำหน้าที่ผัวที่ดีมากกว่า" ป้องเล่นมุขกลับ

"บ้า... แล้วจะมากี่โมง? จะได้เตรียมตัวอาบน้ำประแป้งพรมน้ำหอมรอ แล้วจะมากินข้าวเย็นด้วยกันไหม?"

"กำลังจะถามนายอยู่พอดีเลย เรามาหานายตอนบ่าย 3 โมง ได้ไหม? เราจะพานายไปดูหนังด้วยกันก่อน จากนั้นค่อยไปกินข้าวเย็น" ป้องบอกรายละเอียด

"ได้เลย งั้นเราจะรอนะ แล้วเจอกัน" ผมตกปากรับคำ พร้อมกับวางสาย

"แฟนโทรมาหรือครับ?" น้องก้องเอ่ยถาม

"อ้าว... ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อกี้ยังเห็นหลับปุ๋ยอยู่เลย" ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อย

"นานพอที่จะได้ยินพี่กันต์คุยจ๊ะจ๋ากับแฟนทางโทรศัพท์" น้องก้องแซวผม

" ไม่ใช่เรื่องของเราน่า เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม? เห็นกรนซะเสียงดังลั่นเลย" ผมพยายามพูดเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"นอนหลับสบายดี ที่นอนพี่กันต์นุ่มน่านอนมาก คราวหน้าคงต้องขออนุญาตมานอนค้างบ่อยๆแล้ว ได้ไหมครับ? " น้องก้องทำหน้าเป็นใส่ผม

"ชักจะเอาใหญ่แล้วนะเรา กับรุ่นพี่นี่ยังเล่นไม่เลิก" ผมหยอกน้องก้อง โดยพยายามที่จะไม่พูดเรื่องที่โดนน้องก้องลักหลับ (เพราะเขินอายและก็ทำตัวไม่ถูกด้วย อีกอย่างหนึ่งก็คงเป็นเหตุผลที่เคยได้บอกไปในตอนที่แล้ว) ส่วนน้องก้องก็เก็บงำเรื่องราวได้เนียนมาก เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น (ตรูละนับถือในความเป็นมืออาชีพจริงๆ)

"เราตื่นก็ดีแล้ว รีบไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำให้เรียบร้อยซะ เดี๋ยวพี่จะพาไปกินข้าวเที่ยง และก็จะพาไปส่งที่หอด้วย" ผมบอกน้องก้องให้เตรียมตัว

"โห... พอแฟนจะมาหา รีบผลักไสไล่ส่งน้องเลยนะ ผมยังไงก็ได้ครับ แม้พี่กันต์จะมีแฟนแล้วก็ตาม ถ้าว่างๆอยากจะมาเล่นอะไรสนุกๆเสียวๆกับผมอีก บอกมาได้เลยนะครับ สำหรับพี่กันต์ผมยินดีเสมอ ผมชอบอะไรที่ไม่ผูกมัดมีข้อแม้ให้มันยุ่งยากเสียเวลา ชอบแบบน้ำแตกแล้วทางใครทางมัน" น้องก้องประกาศเจตนารมที่แน่วแน่

"ต่อปากต่อคำเก่งจริงๆนะเรา รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเลยไป ก่อนที่พี่จะเปลี่ยนใจให้เราเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวพี่"


......................................................................

ก๊อก.... ก๊อก..... ก๊อก...... เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

ผมเดินไปเปิดประตูอย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่บอกก็คงรู้ว่าใครมาเคาะประตู เมื่อเปิดประตูออกมา แค่เห็นใบหน้าของป้องก็ทำให้วันทั้งวันของผมนั้นสดชื่นสดใสขึ้นมาอย่างทันที

"แต่งตัวซะหล่อเชียว ไม่ได้เจอแค่วันเดียว นายดูหล่อขึ้นเป็นกอง" ผมเอาแขนทั้งสองข้างพาดลงไหล่ทั้งสองของป้อง พร้อมกับส่งสายตาพิศวาส (ตรูทำไมอ้อล้อได้น่าตบอย่างนี้)

"นายก็เหมือนกัน ยิ่งดูยิ่งหล่อ ยิ่งมองนานๆ ค_ยเราเริ่มแข็งขึ้นมาทันที อยากจะทำหน้าที่ผัวที่ดีแล้วซิ" ป้องใช้มือตบเบาๆที่ก้นของผม พร้อมกับยื่นเป้ากางเกงมาสีๆตรงเป้ากางเกงของผม

"ไอ้บ้า... เพิ่งจะเจอหน้ากัน ทักทายยังไม่ทันขาดคำ อยากจะเอาแล้วเหรอ เงี่ยนได้ตลอดเวลาจริงๆนะ" ผมพูดกระแหนะกระแหนป้อง

"มันเงี่ยนนี่… เงี่ยนก็ต้องเอาน้ำออก ถูกไหม? ถ้านายไม่อยากให้เราทำหน้าที่ผัวที่ดี ก็ไม่เป็นไร เราไม่ชอบบังคับใคร เดี๋ยวเราขอตัวไปชักว่าวในห้องน้ำก่อนนะ" ป้องทำท่างอนใส่ผม

"ใจน้อยจริงๆนะนาย หัวก็ไม่ได้ล้านซะหน่อย ทำเป็นใจน้อยไปได้ เรายังไม่ได้พูดอะไรเลย มานี่... " ผมดึงแขนป้องไว้ พร้อมกับโอบกอดป้อง

"คิดถึงนายมากเลย นี่ขนาดไม่ได้เจอหน้านายแค่หนึ่งวัน เรายังเป็นเอามากขนาดนี้" ผมใช้ริมฝีปากจูบประกบปากของป้อง เราทั้งสองจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม

ผมเอื้อมมือลงไปปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของป้องออกทีละเม็ดๆ (ป้องใส่กางเกงยีนส์แบบที่ใช้กระดุมแทนซิปส์) จากนั้นผมก้มลงไปสูดดมกลิ่นสาบเสน่หาของความเป็นชาย ที่นอกกางเกงในตัวจิ๋วของป้อง ผมใช้ปลายจมูกลากไปทั่วบริเวณเป้านอกกางเกง จนท่อนเอ็นของป้องแข็งโด่ได้ที่ โผล่หัวที่เปิดบานเป็นดอกเห็ดออกมาทักทาย

ผมแลบลิ้นไปเลียที่ส่วนหัวของท่อนเอ็น ที่มีน้ำเยิ้มๆซึมออกมาจากรู่ท่อขนาดเล็ก

ป้องหลับตาพริ้ม พร้อมกับครางออกมาด้วยความเสียว

ผมจัดการถลกกางเกงในและกางเกงยีนส์ของป้องลงไปกองที่ข้อเท้า

ผมถวายบัวให้ป้องอย่างไม่รอช้า ส่วนป้องนั้นก็ส่ายสะโพกโยกกระเด้าเอาท่อนเอ็นเข้าๆออกๆปากผม โดยใช้มือจิกเส้นผมของผมเพื่อควบคุมบังคับให้เป็นจังหวะจะโคน

ปากของผมอมๆดูดๆท่อนเอ็นของป้อง โดยที่มือทั้งสองข้างไม่ได้ปล่อยไว้ให้ว่างเปล่าแต่อย่างใด มือขวาลูบๆขยำๆเส้นหะมอยอันดกดำหยิกหยองของป้อง และมือซ้ายก็เล่นปูไต่ตรงบริเวณกะโปก

"นายดูดได้เซียนโคตรๆ เราใกล้จะแตกแล้ว" ป้องเริ่มใช้มือจิกเส้นผมของผมอย่างแน่นขึ้น พร้อมกับกระเด้าท่อนแข็งเข้าๆออกๆปากผม อย่างระรัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ

"อู๊ย... อู๊ย... แตกแล้ว " ป้องครางออกมา โดยพ่นน้ำกำหนัดเข้าปากผมอย่างเต็มๆ ส่วนผมนั้น ทั้งกลืน ทั้งดูด ทั้งเลีย น้ำเงี่ยนของป้องอย่างเมามันส์

ใจจริงแล้วผมอยากจะร่วมเพศกับป้อง หรือเรียกตามประสาชาวบ้านว่า ให้ป้องเอาอย่างเป็นรูปแบบเต็มๆ แต่เนื่องด้วยเวลาที่จำกัด (เพราะเราทั้งสองแพลนกันว่า จะออกไปดูหนังและก็กินข้าวเย็นข้างนอก) ถ้าขืนมัวเอากันอย่างเป็นการเป็นงาน รับรองไม่ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกแน่ๆ

ดังนั้นผมจึงแค่ทำ oral sex เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อน พอกลับมาจากข้างนอก ก็ค่อยร่วมประเวณีอย่างครบเครื่่องเต็มรูปแบบ


----- ณ ห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้ว --------

พอซื้อตั๋วหนังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่รอรอบหนังฉายเป็นเวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง ผมกับป้องจึงพากันไปเดินเล่นดูของตามร้านต่างๆ

ป้องพาผมไปดูร้านขายหนังสือญี่ปุ่นและสินค้าต่างๆที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น ป้องมาที่ร้านนี้เป็นประจำเพื่อมาซื้อการ์ตูนญี่ปุ่น หรือไม่ก็หนังสือจำพวกนิตยสารของญี่ปุ่น (ป้องชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมาก ส่วนหนังสือนิตยสารญี่ปุ่นนั้น ป้องซื้อมาดูเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เพราะป้องเรียนทางด้านศิลปะ)

ขณะที่ผมกำลังดูนิตยสาร โดยมีป้องยืนเลือกการ์ตูนอยู่ชั้นหนังสือฝั่งตรงข้าม....

"โชคดีจัง เจอกันบังเอิญที่นี่อีก" เสือเข้ามาสะกิดที่ไหล่ของผม

"นึกว่าใคร เสือ นั่นเอง เมื่อคืนกลับกี่โมง?" ผมพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ เพราะตกใจที่เจอเสือโดยบังเอิญที่นี่ (จริงๆแล้ว กลัวป้องจะมาเจอและเข้าใจผิด)

"ตี 2 กว่าๆ นี่... กันต์มาคนเดียวหรือว่ามากับใคร?" เสือถามผม พร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา (เวลานี้ป้องก็กำลังเดินเข้ามาทางผมและเสือ ตรูจะทำอย่างไรดีนี่?)

"เราไม่ได้มาคนเดียว แล้วเสือมากับใคร?" ผมพยายามตอบแบบเผินๆ (ป้องเดินมาหยุดอยู่ข้างๆผมและเสือ โดยป้องทำทีเป็นว่า กำลังมองหาหนังสือ)

"มากับเพื่อน นั่งกินไอติมอยู่ที่สเวนเซ่นส์ เราเดินไปเข้าห้องน้ำ บังเอิญผ่านมาทางนี้ เลยมาเจอกับนายเข้า เราต้องรีบไปก่อน ดันมาเข้าห้องน้ำตอนที่เพื่อนๆเรียกเก็บเงินด้วยซิ เดี๋ยวจะหาว่าเราเบี้ยวไม่ยอมจ่ายตังส์อีก ยังไงคงจะได้เจอกันโดยบังเอิญอีกนะ ไม่ที่ไหนก็ซักที่ หรือไม่ก็มาหามาคุยกับเราที่หอชาย 2ห้อง 222 ก็ได้นะ จำง่ายออก" เสือพูดทิ้งทวนปนเชิญชวน ก่อนที่จะเดินออกไปจากร้าน

"โอ้โห... มีการบอกที่อยู่และเบอร์ห้องให้เสร็จสรรพเลยนะ เมียเรานี่เป็นที่ต้องการของตลาดจริงๆ แบบนี้เราควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่?" ป้องพูดประชดประชัน

"บ้า... คิดอะไรแต่ละอย่างนี่ ไม่พ้นเรื่องใต้สะดือเลยนะ ที่พูดแบบนี้ หึง เราใช่ไหม?" ผมแกล้งงอนพร้อมทั้งเชิดใส่ฝ่ายตรงข้าม นิดๆ

"ถ้าไม่หึงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ทำไมไม่บอกไปละว่า มากับผัว ไอ้คนนั้นก็เหลือเกิน เล่นเดินเข้ามาหาเมียชาวบ้านแบบไม่เกรงใจเลย ผัวเขายืนหัวโด่อยู่ทั้งคน แล้วไปเจอกันที่ไหนอย่างไร? ได้เสียกันหรือยังละ?" ป้องพูดทีเล่นทีจริง (ซึ่งผมดูไม่ค่อยออกว่า พูดเล่นติดตลก หรือพูดจริง)

"นายคิดได้แค่นี้เองเหรอ? พูดแบบนี้ นายไม่ให้เกียรติเราเลยนะ นอกจากจะไม่ให้เกียรติแล้ว นายไม่เชื่อใจเราอีกด้วย เราเพิ่งเจอเขาเมื่อคืนนี้ ตอนที่ไปจีจี้กับน้องรหัส คุยกันได้ไม่ถึง 10 นาทีเลย อีกอย่างน้องรหัสเราเมา เราเลยต้องคอยแบกไปส่งที่หอ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และสีหน้าที่เคร่งเครียด

"ทำไมต้องทำหน้าจริงจัง ซีเรียสด้วย เราแค่จิกกัดนายเล่นๆเอง ขอโทษนะที่อาจจะเล่นแรงไปหน่อย เราเชื่อใจนายและเชื่อที่นายเล่าให้เราฟังทุกอย่าง อย่าโกรธผัวเลยนะ เมียจ๋า" ป้องจับมือผมพร้อมกับค่อยบรรจลูบอย่างเบาๆ (ได้ยินแบบนี้แล้ว ผมค่อยโล่งใจสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังแอบงอนอยู่นิดๆ)

"บ้า... เล่นอะไรก็ไม่รู้ คราวหน้าเวลาจะพูดอะไรลงไป หัดนึกถึงหัวอกคนฟังบ้าง ถ้านายอยากให้เราหายโกรธละก็ ช่วยทำหน้าที่ผัวที่ดีด้วย เลี้ยงข้าวเย็นเรานะ เราอยากกินเอ็มเคสุกี้มาก จะสั่งมาให้เต็มโต๊ะชนิดที่เจ้ามือกระเป๋าฉีกเลย คอยดูเถอะ" ผมพูดด้วยสีหน้าที่เขินอายปนติดตลกนิดๆ

"ครับ... ผมจะเลี้ยงข้าวเย็น จากนั้นเลี้ยงของหวานคือ ไอติมแท่งหัวแดง ยิ่งดูดยิ่งมีครีมสีขาวข้นหวานมันราดที่หัว ตบท้ายด้วยถั่วดำสูตรประตูหลังระบม รับรองว่าต้องรักผัวคนนี้ไปอีกนาน" ป้องพูดอย่างทะลึ่งทะเล้น

ยิ่งอยู่ใกล้ นับวัน.... ผมก็ชักจะเริ่มหลงรักผู้ชายที่ชื่อ "ป้อง" มากขึ้นทุกทีๆแล้วซิ (ทำอย่างไรดี? ตรูยังไม่เคยรู้สึกกับใครมากเป็นพิเศษแบบนี้มาก่อน ทั้งโดนใจทั้งได้ใจไปเต็มๆ)

เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับป้อง นับวันยิ่งไปกันได้ดีมากๆ เราทั้งสองได้เลื่อนสถานะภาพความสัมพันธ์จาก "คู่ขา" มาเป็น "คู่รัก"
ผมยังจำได้ดีเกี่ยวกับวันที่ป้องสารภาพความในใจกับผมและอยากจะเปลี่ยนสถานะภาพความสัมพันธ์

วันนั้นเป็นคืนวันลอยกระทง ผมกับป้องไปลอยกระทงด้วยกันที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ตรงบริเวณใกล้ๆกับสะพานนวรัฐ หลังจากที่อธิฐานและลอยกระทงเสร็จแล้ว เราทั้งสองก็นั่งชมพระจันทร์อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ

ป้องจับมือขวาของผมขึ้นมา พร้อมกับใช้มือของตัวเองลูบไล้ตรงฝ่ามือของผมให้อยู่ในลักษณะแบมือ จากนั้นป้องได้ใช้นิ้วชี้เขียนลากวนเป็นรูปหัวใจใส่ที่ฝ่ามือของผม พร้อมกับใช้มือของตัวเองห่อมือของผมให้อยู่ในลักษณะกำมือ

"หัวใจของเราอยู่ในกำมือของนายแล้ว นายต้องดูแลรักษาทะนุถนอมให้ดี อย่าทิ้งขว้างหรือทำให้หัวใจดวงนี้บอบช้ำเป็นอันขาด" ป้องจูบลงบนแก้มของผม (ตอนนี้ตรูรู้สึกเขินมากๆ จนทำอะไรไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึก feeling in love แบบนี้)

"หัวใจของเราก็อยู่ในกำมือนายเหมือนกันนะ ขอให้นายดูแลรักษาและอย่าทำร้ายให้หัวใจนี้ต้องเจ็บช้ำเป็นอันขาด" ผมทำแบบเดียวกับที่ป้องได้ทำกับผม

คืนวันนั้นผมมีความสุขมากๆ เพราะเป็นคืนที่ผมมีคนให้รักและในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ถูกรักด้วย คราวนี้ผมสามารถเรียกใครคนหนึ่งว่า "แฟน" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ โดยที่ไม่เคอะเขินแต่อย่างใด

...................................................................

ผมกับป้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกๆวันสุดสัปดาห์ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ส่วนวันจันทร์-พฤหัส นั้น เป็นช่วงเวลาส่วนตัวของแต่ละฝ่ายที่จะจัดการหรือทำภาระกิจหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปก่อน

ตลอดช่วงประมาณเกือบๆ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมไม่ได้มีโอกาสเจอป้องเลย เพราะว่าป้องติดกิจกรรมของคณะ ต้องซ้อมการแสดง "ลูกทุ่งวิจิตร" ซึ่งเป็นงานประเพณีของคณะวิจิตรฯที่โด่งดังเป็นที่รู้จักมากมาย (ชนิดที่ดังข้ามมหาลัยเลยทีเดียว) รูปแบบของงานจะคล้ายๆกับงานมหกรรมคอนเสิร์ตลูกทุ่งที่ยิ่งใหญ่ มีการแสดงโชว์ที่อลังค์การดาวล้านดวงและมีการเล่นตลกคั่นหน้าม่าน

ยิ่งใกล้ช่วงวันที่จะเปิดแสดงแล้ว ต้องซ้อมอย่างหนักชนิดที่แทบจะปลีกเวลาไปไหนได้เลย (ลืมบอกไปว่า ป้องได้เป็นนักร้อง ร้องเพลงบนเวที ซึ่งจะร้องเพลงอะไรนั้น ผมพยายามคะยั้นคะยอถามป้องแล้ว แต่ป้องไม่ยอมบอก ป้องบอกแต่ว่า "อยากรู้ก็ต้องไปดูเอาเอง")

......................................................

"เพิ่งเรียนเสร็จเหรอ?" บอลเจอกับผมโดยบังเอิญที่ใต้คอนโด

"เออ.... แล้วนายละ?" ผมถามบอล

"เหมือนกัน โคตรเซ็งเป็นบ้าเลยวิชานี้ กว่าจะหมดชั่วโมงได้ นั่งรากงอกพอดี เย็นนี้นายอยู่ห้องไหม? ว่าจะขอเข้าไปเล่นเกมส์ซักหน่อยได้ไหม?" บอลขออนุญาตผม (ก่อนหน้านี้ บอลเคยมานั่งคุยและนั่งเล่นวีโดเกมส์ที่ห้องผมประมาณ 2-3ครั้ง)

"ได้เลย ยังไงนายก็เคาะประตูเรียกละกัน" ผมเดินแยกขึ้นบันไดไป ส่วนบอลนั้น ยืนดื่มน้ำอัดลมอยู่ที่ร้านมินิมาร์ทใต้คอนโด

เมื่อเดินมาถึงประตูห้อง ผมเห็นถุงกระดาษขนาดย่อมแขวนห้อยอยู่ที่ลูกบิดประตู ผมเปิดดูปรากฏว่าเป็น บัตรเข้าชมงานลูกทุ่งวิจิตร 2 ใบ พร้อมกับสูจิบัตรบอกกำหนดการต่างๆอย่างคร่าวๆ

"ต้องไปดูให้ได้นะ ถ้าไม่ไปโกรธจริงๆด้วย ป้อง.. " ป้องทิ้งโน๊ตสั้นๆไว้ข้างใน

ผมถือถุงกระดาษไว้แน่น พร้อมกับยืนยิ้มอยู่คนเดียว


ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก... เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ผมเดินไปประตู..........

"นายยังไม่เปลี่ยนชุดอีกหรือ? นี่กะจะใส่ชุดนักศึกษาทั้งวันทั้งคืนหรือยังไง? รักสถาบันจริงๆนะ" ผมแซวบอล

"ขี้เกียจว่ะ อีกอย่างถ้าขืนเปลี่ยนชุดบ่อยๆ มีหวังจ่ายค่าซักรีดอานแน่ๆ นี่นายจะไปไหน? เรามาขัดจังหวะนายหรือเปล่า?" บอลจ้องมองไปที่มือของผม ซึ่งกำลังถือกระเป๋าสตางค์และกุญแจห้อง

"นายมาก็ดีแล้ว อยู่เฝ้าห้องให้เราแป๊บหนึ่ง เราจะได้ไม่ต้องถือกุญแจไป กางเกงเรายิ่งกระเป๋าตื้นอยู่ด้วย แค่ถือกระเป๋าตังส์อย่างเดียวก็เต็มมือแล้ว คือ เราจะเดินไปซื้อขนมและของกินที่ถนนปากทาง หิวสุดๆ นายจะเอาอะไรไหม?"

"อะไรก็ได้ซื้อมาเถอะ เรากินได้หมด"

"งั้นอยู่เฝ้าห้องนะ เดี๋ยวเรามา ม้วนเกมส์ ม้วนวีดีโอ ทั้งหมดอยู่ในลิ้นชักใต้โต๊ะวางทีวี นายรู้ใช่ไหม? ยังไงก็เปิดหาเอาเองละกัน อยู่แถวๆนั้น" ผมเดินออกจากห้อง

หลังจากซื้อของกินต่างๆเรียบร้อยแล้ว ผมกลับมาที่ห้อง พอเข้ามาในห้อง ผมตกใจจนแทบช็อค เมื่อมองเห็นหนังสือเกย์และม้วนวีดีโอเอ็กซ์เกย์ ที่ผมซื้อและเช่ามาดู วางอยู่บนพื้นข้างโต๊ะวางทีวี

ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน (ที่อายเพราะยังไม่รู้ว่า บอลเป็นผู้ชายแท้ๆหรือมีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกับผม เวลาอยู่ต่อหน้าบอล ผมมักจะเก๊กแมนใส่ตลอด) จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นความสะเพร่าเผลอเรอของผมเอง ที่ไม่รู้จักเก็บของพวกนั้นให้มิดชิดเป็นที่เป็นทาง

"นายคงจะรู้เห็นอะไรแล้วซินะ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆเหมือนคนประหม่า เวลานี้ผมไม่กล้าสู้หน้าบอลมากๆ

"ทำไมนายต้องซีเรียสขนาดนั้นด้วย มันไม่ใช่เป็นเรื่องร้ายแรงหรือเรื่องใหญ่หลวงอะไรเลย นายไม่ต้องกลัวนะว่า ถ้าเราเห็นหนังสือและวีดีโอเทปพวกนั้นแล้ว เราจะเลิกคบนายหรือรังเกียจนาย เราไม่ได้ตัดสินคนจากตรงนี้ ที่เราคบนายก็เพราะนายเป็นคนที่มีจิตใจดีและจริงใจ เรายังจำครั้งแรกที่เจอนายได้ รถมอเตอร์ไซด์เราล้มคว่ำ นายยังมีน้ำใจมาช่วยพยุงรถ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และพูดตักเตือนให้เราได้คิด" บอลยิ้มให้กำลังใจผม

"ขอบใจมากนะ บอล... แล้วนายได้เปิดอ่าน เปิดดู บ้างหรือยัง? ถ้าสนใจเราให้ยืมไปอ่าน ไปดู ที่ห้องนะ" ผมยิ้ม พร้อมกับพูดแซวฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้บรรยายากาศกลับมาเหมือนเดิม

"ถ้าเรายืมไปหมดนี่ แล้วนายจะเอาที่ไหนดู ตอนที่อารมณ์เปลี่ยวละ?" บอลแซวย้อนกลับ

"อืม.... " ผมมองบอลอย่างรู้ทัน

"อาทิตย์หน้านายว่างไหม?" ผมถามขึ้นมา

"ว่าง มีอะไรเหรอ?" บอลมองหน้าผมอย่างสงสัย

"จะชวนไปดู ลูกทุ่งวิจิตร ด้วยกัน ได้บัตรฟรีมา 2 ใบ ไปหรือเปล่า?"

"ไปซิ ว่าแต่... แฟนให้บัตรมาหรือ? เมื่อตอนสายๆเราเห็นไอ้หนุ่มผมยาวเอาถุงอะไรซักอย่างมาแขวนไว้ตรงประตูหน้าห้องนาย เขาพยายามเคาะห้องนายตั้งหลายครั้ง สงสัยตอนนั้นนายคงจะไปเรียน ไอ้หนุ่มผมยาวคนนั้น แฟนนายใช่ไหม? เราเห็นเขามาหานายที่ห้องตั้งหลายครั้ง และยังเห็นนายเดินไปไหนมาไหนกับเขาอยู่บ่อยๆ" บอลถามผมอย่างตรงไปตรงมา

ผมตอบโดยการพยักหน้า เพราะเขินจนพูดไม่ออก และไม่ชินปากด้วย

"พูดแค่นี้ ทำเป็นเขินไปได้ นายช่างเข้าใจหาแฟนนะ แบบว่าหาแฟนได้เหมาะกับนายมากๆ นายเป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลา แถมแฟนนายก็หน้าตาเท่ห์ๆเซอร์ๆ สมกันมากๆคู่นี้" บอลพูดยอผม

ผมได้แต่ยิ้มๆๆๆๆๆๆ และก็ยิ้ม (มันเขินนี่ จะพูดจะบอกอะไรก็กลัวโดนแซว แค่นี้ก็หน้าแดง แก้มแดง มากพอแล้ว)

ใจจริงแล้ว ผมอยากจะชวนนพไปดูลูกทุ่งวิจิตรกับผม เพราะนพเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผม เวลาที่พวกเราไปงานแบบนี้กัน ก็มักจะชอบใช้สายตาเป็นเรด้าสอดส่องหาเป้าหมายที่เป็นหนุ่มหล่อๆ จากนั้นก็มาให้คะแนนความหล่อ หรือไม่ก็นินทาเม้ามอยเรื่องชาวบ้านต่างๆนานา

แต่ในตอนนี้ นพเป็นแฟนกับพี่ต่อ แน่นอน ถ้านพไป พี่ต่อก็ต้องพ่วงท้ายไปด้วย (สองคนนี้ตัวติดกันมากๆ ยิ่งกว่าปาท่องโก๋อีก) รู้ๆกันอยู่ว่า ผมกับพี่ต่อไม่กินเส้นกัน ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โรงอาหารคณะ

เพราะฉะนั้นชวนบอลไปดูลูกทุ่งวิจิตรกับผม จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
---------- ภายในงาน "ลูกทุ่งวิจิตร" -----------


"คนเยอะจริงๆ" บอลกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณงาน

ส่วนผมนั่งถือพวงมาลัยรอคล้องคอให้นักร้องรูปหล่อคนหนึ่ง ผมอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งทำพวงมาลัยตลอดวัน พวงมาลัยมาลัยที่ว่านี้ ทำด้วยลูกอมมายมิ้นท์และขนมปักกิ่ง โดยมีโรตีสายไหมใส่ในถุงพลาสติกใสเล็กๆ พันระโยงระยางรอบพวงมาลัย (ขนมหวานดังกล่าว ป้องชอบกินมากๆ)

ผ่านไปได้ซัก 3-4 เพลง ในที่สุด นักร้องรูปหล่อที่ผมรอคอยก็ออกมาปรากฏโฉม ในเพลงลูกทุ่งที่ความหมายอาจจะถูกใจบรรดาแม่ยกหลายต่อหลายคน แต่สำหรับผมนั้น ......... (เออ ไม่ขอออกความเห็น) ............

"หัวใจผมว่างจะมีใครบ้างจับจอง เปิดโอกาสให้คุณครอบครองมาจับมาจองหัวใจผมได้ รับรองไม่เสียนายหน้าแป๊ะเจี๊ยแต่อย่างใด ให้คุณผู้หญิงมาจองไว้ ส่วนคุณผู้ชายผมห้ามจอง ......................................... " เพลงนี้ชื่อเพลง "หัวใจผมว่าง"

ป้องร้องเพลงนี้ได้ไพเราะเพราะพริ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งน้ำเสียงและลูกคอ

ใครจะไปคิดว่า ป้องผู้ที่ชื่นชอบหลงใหล ร้องเป็นแต่บทเพลงนูโว และ อัสนี-วสันต์ จะสามารถทำเซอร์ไพร์สซ์ร้องเพลงลูกทุ่งได้อย่างมีเสน่ห์มากๆ

"แฟนนายนี่ เท่ห์สุดๆ ยังไม่รีบออกไปคล้องพวงมาลัย เดี๋ยวก็มีคนมาคล้องตัดหน้าหรอก ไหนนายบอกว่าจะต้องออกไปคล้องเป็นคนแรกไง" บอลเน้นย้ำผม

"เออ... ใช่.... เกือบลืมไป เดี๋ยวมานะ" ผมรีบเดินออกไปหน้าเวทีอย่างรวดเร็ว

คืนนี้ป้องดูหล่อมีสง่าราศีมากๆ เป็นความหล่อที่ดูพิเศษแตกต่างออกไปจากความหล่อที่เห็นอยู่ทุกวัน

ป้องก้มโน้มตัวลงรับพวงมาลัยจากผม แววตาของเราทั้งสองจ้องประสานกันอย่างดื่มด่ำชื่นฉ่ำจับใจ ถ้าไม่ติดตรงที่คนดูเยอะมากขนาดนี้ ผมอยากจะหอมที่แก้มของป้องหลายๆฟอดให้หายคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นอาทิตย์ๆ

เมื่อคล้องพวงมาลัยเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ผมหันหลังจะเดินกลับมายังที่นั่งของตนนั้น ผมเห็นชะนีนางหนึ่ง แต่งตัวตามสมัยนิยม(ในขณะนั้น) แถมยังเปียผมทั้งสองข้างยังกับพจมานเดินเข้าบ้านทรายทอง ในมือของน้องนีถือตุ๊กตาหมีสีขาวตัวใหญ่ที่มีรูปหัวใจสีแดงดวงใหญ่ติดตรงที่อก

น้องนีเดินอย่างมาดมั่นมุ่งตรงเข้าไปที่ตัวนักร้อง ชนิดที่ว่า ฉัน สวย เริ่ด เชิ่ด หยิ่ง & คัน พร้อมกับส่งตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ให้กับป้อง ทำเอาคนในงานทั้งปรบมือและส่งเสียงแซวอย่างเซ็งแซ่ไปทั้งงาน (แย่งซีนตรูสุดๆ ทำเอาพวงมาลัยตรูกลายเป็นสิ่งของที่ทำจากวัสดุเหลือใช้ ไปในพริบตา ยอมไม่ได้แบบนี้มันหยามกันชัดๆ ถ้าไม่ติดที่คนเยอะๆแบบนี้ ตรูจะเดินเข้าไปถอนสายบัวตรงหน้า พร้อมกับบอกอย่างสุภาพชนว่า "คนนี้ของฉัน")

"ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้น ใครทำให้ไม่สบอารมณ์หรือ?" บอลหยอกเอินผม ด้วยน้ำเสียงที่ขำขัน

"นายก็รู้นี่น่า ไม่น่าถาม" ผมตอบอย่างเซ็งๆ

"มีแฟนหล่อก็ย่อมเป็นที่หมายปองของใครต่อใคร ทางที่ดีที่สุดคือ ทำใจ" บอลยังคงหยอกเอินผม

ผมพอจะทราบจากปากของคนรู้จักหลายคนในงานว่า ชะนีมั่นที่ให้ตุ๊กตาหมีกับป้องนั้น ชื่อ "กองฟาง" (ขนาดชื่อยังอ้อล้อได้เพียงนี้) เรียนอยู่คณะบริหารฯ ปี 2 (รุ่นพี่คณะของบอล)

หลังจากงานคืนนั้นแล้ว ผมยังไม่มีโอกาสได้เจอป้อง เพราะว่าป้องต้องทำโปรเจคชิ้นใหญ่ส่งอาจารย์เพื่อเก็บคะแนนกลางภาค ขนาดผมโทรไปหาที่หอ เจอแต่เข่งกับหยอง ซึ่งเป็นแชร์ห้องอยู่กับป้อง (เข่งกับหยอง ต่างก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับป้องเป็นอย่างดี)

ดังนั้นผมจึงฝากข้อความผ่านทั้งสองคนไปถึงป้อง (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็มือถือ หรือไม่ก็อุปกรณ์ช่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น BB, FB หรือไม่ก็ Line ) เพราะป้องไม่ค่อยจะอยู่หอเท่าไหร่

ผมลองโทรไปอีกทีตอนสี่ทุ่มกว่าๆ..

"ฮัลโหล" เสียงจากปลายสายพูดขึ้น

"ป้อง... นี่เรานะ ไม่ได้เจอกันหลายอาทิตย์แล้ว เราคิดถึงนายมาก" ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้คุยกับป้อง

"เราก็คิดถึงนายเหมือนกัน ไม่ได้ทำหน้าที่ผัวที่ดีมานาน" ป้องพูดอย่างขำๆ

"คิดถึงก็มาหาซิ นี่ยังไม่ดึกมากนะ" ผมออดอ้อน (คันจริงๆเลยตรู)

"เราทำรายงานอีกวิชา ต้องส่งพรุ่งนี้ด้วยสิ ตอนนี้ยังไม่เสร็จเลย"

"พรุ่งนี้นายว่าง? เราอยากจะไปกินข้าวเที่ยงหรือไม่ก็ข้าวเย็นกับนาย แล้วแต่นายจะว่างเวลาไหนก็ตาม นะ นะ นะ" ผมยังคงออดอ้อนป้อง

"พรุ่งนี้เหรอ? เราต้องไปวาดรูปกับอาจารย์และเพื่อนๆที่ลำพูน กว่าจะกลับก็ค่ำๆ ช่วงนี้งานเยอะจริงๆ แทบจะหาเวลามาทำหน้าที่ผัวที่ดี ไม่ได้เลย เข้าใจผัวหน่อยนะ เมียจ๋า ขอเป็นอาทิตย์หน้าได้ไหม?" ป้องอ้อนขอความเห็นใจ

"ก็ได้ อาทิตย์หน้าจริงๆนะ ห้ามเลื่อนเด็ดขาด ไม่งั้นไม่ยอมจริงๆด้วย แล้วอย่าลืมทำหน้าที่ผัวที่ดีด้วยนะ" ผมแสดงอาการงอนอย่างพองาม

...............................................................

ตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น

ผมกำลังนั่งกินเย็นตาโฟอยู่ที่ร้านสุดโปรดของป้อง สาเหตุที่ผมเลือกมากินร้านนี้เหตุผลแรก คือ เวลานั่งกินที่ร้านนี้ทีไร รู้สึกเหมือนกับว่าได้อยู่ใกล้ๆป้องยังไงก็ไม่รู้ และเหตุผลที่สอง คือ วันนี้รู้สึกอยากกินเย็นตาโฟอย่างบอกไม่ถูก (ปรกติผมไม่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวแบบน้ำๆเท่าไหร่ ผมชอบกินประเภทก๋วยเตี๋ยวผัดหรือก๋วยเตี๋ยวแห้งมากกว่า)

โต๊ะที่ผมนั่ง หันหน้าออกทางหน้าร้านทำให้เห็นบริเวณถนนและผู้คนเดินเข้าๆออกๆร้าน เมื่อเย็นตาโฟที่ผมสั่งมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ด้วยความหิว ผมรีบปรุงและรีบคีบเส้นใส่ปากอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่กำลังกินเย็นตาโฟได้เพียงแค่ 3 คำ สายตาของผมก็ไปสะดุดกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามานั่งในร้าน ทำเอารู้สึกจุกเข้าไปในอกจนหายหิวไปเลย

หนุ่มที่ว่านี้ คือ "ป้อง" ส่วนสาวที่ควงมาด้วย คือ "กองฟาง" จากความรู้สึกแรกเห็นในงานคืนนั้น มันทำให้ผมรู้ว่า เธอคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ แล้วมันก็ใช่และไปไกลเกินกว่าที่ผมได้คาดเดาเอาไว้

สำหรับยัยกองฟางนั้น ผมไม่รู้สึกโกรธหรือคันไม้คันมืออยากจะตบเธอเท่าไหร่นัก (จะไปโทษเธอฝ่ายเดียวคงไม่ถูกต้อง ถ้าผู้ชายไม่มีใจให้ ตบมือข้างเดียวมันคงไม่ดังหรอก) แต่กับป้องนั้น ผมรู้สึกโกรธและเสียใจมากๆ ชนิดที่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ใดๆออกมาทางสีหน้าและท่าทางได้เลย

"ไหนบอกว่า วันนี้ไปวาดรูปที่ลำพูน แล้วทำไมถึงพายัยชะนีมั่นมานั่งกินเย็นตาโฟที่นี่ ได้ละ?" ผมรำพึงรำพันอยู่ในใจคนเดียว

อารมณ์และความรู้สึกของผมในตอนนี้มันปะปนมั่วซั่วไปหมด เหมือนมีอะไรมาชนเข้าอย่างจัง

ป้องพอเห็นหน้าผมแล้ว ไม่ยอมทักทาย เหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้น พยายามหลบหน้าหลบตาผม ขนาดนั่งโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่ต้องหันหน้าเข้าหาผม หน้าของผมเขายังไม่เหลียวมองด้วยซ้ำ

ส่วนยัยกองฟางก็ทำตัวอ้อล้อออดอ้อนผัวคนใหม่ เห็นแล้วหมั่นใส้น่าตบจริงๆ

ผมรีบเดินไปจ่ายเงินและออกจากร้านไปทันที ทั้งอิ่ม ทั้งจุก ทั้งช็อค ทั้งเสียความรู้สึก

เด็กหอ 8 CP

มื่อกานต์เก็บของจากห้องตัวเองเสร็จ จึงมาหาอาจารย์ภัทรที่ห้อง ส่วนภัทรอาบน้ำทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อย ควยของภัทรแข็งรอกานต์อยู่นานแล้ว &...