“เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ไอ้ทีมันเป็นเจ้ามือเอง ทุกอย่างมันจ่ายให้หมดเสร็จสรรพ วันพรุ่งนี้วันเกิดมัน ส่วนเรื่องของใช้นั้น ใช้ของพี่ไปก่อน แปรงสีฟันพี่มีอันใหม่สำรองอยู่ในห้องน้ำ รีบแต่งตัวซะ เดี๋ยวลงไปช้าจะโดนมันกัดอีก” พี่ต่อรีบยื่นเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ให้ผม
ในระหว่างเดินทาง พี่ทีเป็นคนขับรถ พี่บาสเป็นตุ๊กตาหน้ารถนั่งข้างๆพี่ที ส่วนผมกับพี่ต่อนั่งเบาะหลัง
ผมยังแปลกใจอยู่ว่า พี่ทีกับพี่บาสมีโอกาสเจอกันตอนไหน? แล้วปิ๊งกันได้อย่างไร? (ตอนหลังเพิ่งทราบมาว่า ปีที่แล้วตอนพี่ต่อเพิ่งเข้ามาเป็นนักศึกษาปี1 พี่ต่อกับพี่บาสเป็นเพื่อนกัน หลังจากนั้น พี่ทีก็ได้ขึ้นมาเยี่ยมพี่ต่อที่เชียงใหม่ เลยได้มีโอกาสรู้จักกับพี่บาส พอเจอกันครั้งก็เกิดปรากฏการณ์ love at the first slight ทันที)
ผมนั่งเบาะหลังตรงข้ามกับพี่ทีซึ่งเป็นคนขับ ผมมองไปในกระจกรถตรงคนขับ สายตาของผมก็ประสานกับสายตาของพี่ทีเข้าอย่างจัง ชนิดที่ว่าเหมาะเจาะพอดิบพอดี พี่ทีมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์นิดๆ ผมรู้สึกเขินมาก แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจอะไรเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ และสงบสติอารมณ์ของตัวเองไปในตัวด้วย (แบบว่าใช้ความสงบสยบความแรด)
เมื่อถึงแม่ขะจาน พี่ทีก็ขับรถเข้าไปจอดที่ปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันและให้ทุกคนไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ผมเดินเข้าไปล้างมือที่ห้องน้ำ ในขณะที่กำลังฟอกสบู่ล้างมืออยู่นั้น ก็มีคนมาสะกิดตรงหัวไหล่ของผม ผมรีบหันไปดูปรากฏว่าเป็นพี่บาส
หน้าตาของพี่บาสดูซีเรียสนิดๆ ผมถามพี่บาสว่า “นึกว่าใคร ทำเอาผมตกใจ พี่บาสมีอะไรเหรอครับ?”
“พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
“ได้เลยครับพี่ ว่าแต่คุยเรื่องอะไร?” ผมถามด้วยความสงสัย
“กันต์รู้เรื่องระหว่างพี่กับพี่ทีแล้วใช่ไหม?” พี่บาสถามผมอย่างตรงไปตรงมา
“ครับผม.... แต่พี่บาสไม่ต้องห่วงและไม่ต้องกลัวว่าผมจะเอาไปพูดที่ไหน และผมก็หวังว่าพี่บาสคงจะไม่บอกเรื่องของผมกับใครๆนะครับ ถ้าพี่บาสไม่พูด ผมก็ไม่พูดเหมือนกัน” ผมพอจะเดาออกว่าเรื่องที่พี่บาสอยากจะพูดกับผมคือเรื่องอะไร ผมเลยชิงพูดก่อน พร้อมทั้งข้อเสนอยื่นหมูยื่นแมว
“ถ้าเป็นแบบที่กันต์พูดมา พี่ก็ดีใจมาก ขอบใจมากนะกันต์ที่เข้าใจ” พี่บาสยิ้มให้ผมอย่างพึงพอใจในข้อเสนอ
พวกเราทั้งหมดมาถึงที่ จ.เชียงราย ในตอนเกือบๆเย็น (เพราะเล่นจอดแวะกิน-เที่ยวระหว่างทางบ่อยมาก) โดยเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำกก ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมด พ่อเลี้ยงทีเป็นคนจ่าย
ห้องพักเป็นห้องแบบครอบครัว (family room) โดยเป็นห้องคู่ 2 ห้อง ที่มีประตูเปิดเข้าหากันได้
“คืนนี้มึงนอนกับไอ้บาสนะ กูจะนอนกับน้องกันต์” พี่ทียื่นข้อเสนอให้กับพี่ต่อ ผมได้ยินถึงกับหูผึ่งด้วยความที่คาดไม่ถึงว่าพี่ทีจะกล้าพูดในสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ในใจ
พี่ต่อทำหน้างงๆเหวอๆ พร้อมพูดออกไปว่า “เฮ้ย.... มึงอย่ามามั่วเลยไอ้เหี้ยที น้องกันต์เด็กกูนะโว๊ย... ส่วนมึงนอนกับไอ้บาสสุดที่รักของมึงเลยไป ไม่ได้เจอกันตั้งนานไม่ใช่หรือ คืนนี้คงจะมีเวลาได้รำลึกถึงความหลังกันซี๊ดซ๊าดทั้งคืนเลย”
“ไม่เอา... ไอ้บาสมันนอนกรน กูนอนไม่หลับ มึงสองคนนอนกรนเสียงดังทั้งคู่ นอนด้วยกันนะดีแล้ว สมน้ำสมเนื้อดี ส่วนกูจะนอนกับน้องกันต์ จริงไหมกันต์? กันต์อยากนอนกับพี่ใช่ไหม?” พี่ทียืนยันเจตนารมณ์เดิม แถมยังหันหน้ามาถามผมอีก
ผมยืนทำหน้าเอ๋อ แกล้งทำท่าทีเป็นไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้งๆที่ใจนั้นอยากจะ “say yes” กับพี่ทีแทบจะขาดใจ แต่ผมก็ยังมีสติพอที่จะรักษาน้ำใจของพี่ต่อ ผมไม่กล้าทุบหม้อข้าวหม้อแกงตัวเองหรอก ถึงใจอยากจะนอนกับพี่ทีมากๆ แต่ก็เป็นแค่อาหารจานเดียว จานด่วนที่กินเพื่อประทังความอยากชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ผิดกับพี่ต่อ ซึ่งนอกจากจะเป็นอาหารสำรับใหญ่ๆครบเครื่องแล้ว ยังเปรียบเสมือนส่วนเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ มีกินอย่างถาวร
“ผมให้พี่ต่อเป็นคนตัดสินใจแทนผมครับ” ผมพูดแบบถนอมน้ำใจพี่ต่อ
“ดีมากกันต์ อย่างนี้ซิ ถึงจะเรียกว่า รักกันจริง” พี่ต่อเดินมากอดรัดผม พร้อมกับยิ้มเยาะพี่ทีอย่างผู้ชนะ
“ขอโทษนะครับพี่ที ใจจริงแล้ว ผมอยากจะนอนกับพี่มากๆ อยากจะลิ้มรสสวาทของพี่ว่า รสชาติจะแซ่บดุเด็ดเผ็ดร้อนขนาดไหน แต่ผมยังเกรงใจพี่ต่ออยู่” ผมพูดอยู่ในใจคนเดียว
“กูละเซ็งจริงๆ ต้องนอนฟังเสียงไอ้บาสกรนทั้งคืน” พี่ทีส่ายหน้าแบบทีเล่นทีจริง
................................................................................
ผมอยู่ในห้องนอนกับพี่ต่องสองคน เวลานี้เป็นเวลาเข้านอนของเราสองคนพอดี
“กันต์... พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม? กันต์คิดอย่างไรกับพี่? หมายถึง กันต์รู้สึกกับพี่แบบไหน?” พี่ต่อถามผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นๆ
“ผมว่า พี่ต่อเป็นคนดีคนหนึ่ง ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา พี่ต่อเป็นคนที่จริงใจ มีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบ ไม่โกหก คิดอะไรก็พูดออกมาเลย ไม่รู้สิครับ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน” ผมตอบอย่างรวมๆ
“ขอบใจมากนะ แต่พี่หมายถึงว่า กันต์รู้สึกกับพี่แบบพี่ชายหรือแบบคนรัก?” พี่ต่อเสี่ยงถามแบบกล้าได้กล้าเสีย ด้วยสีหน้าเขินอาย
“ไม่รู้สิครับพี่ รู้สึกกับพี่แบบพี่ชายคงไม่ เพราะถ้าผมรู้สึกแบบพี่ชาย ผมคงไม่เผลอตัวมีอะไรกับพี่ ส่วนรู้สึกแบบคนรักหรือเปล่า อันนี้ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะถ้าผมรู้สึกกับพี่แบบนี้ ผมไม่อยากผูกมัดตัวผมกับพี่เอาไว้ด้วยเงื่อนไขของความเป็นคนรัก สิ่งนี้มันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันไม่ยาวนานนัก ผมไม่อยากหวาดระแวงเวลาที่พี่หายไปไหนนานๆ และก็ไม่อยากจะหึงหวงพี่เวลาเห็นพี่พูดคุยหรือสนิทสนมกับใครมาก”
“พี่เข้าใจที่กันต์พูด เอาเป็นว่า เราปล่อยให้เวลามันตอบโจทย์ตรงนี้ดีกว่า แต่ตอนนี้พี่อยากจะดูดไอติมแท่งของกันต์ใจจะขาดอยู่แล้ว ไม่ได้ลิ้มรสมานานแล้ว” พอพูดจบ พี่ต่อก็ก้มลงและใช้มือดึงกางเกงและกางเกงในของผมออกจากขาทั้งสองข้างของผม
ก่อนที่แท่งตอปิโดของผมจะผงาดขึ้นมาสู้ศึก พี่ต่อใช้มือข้างขวาลูบไล้บริเวณดงเส้นสาหร่ายอันดกดำของผม และมือข้างซ้ายรูดแท่งตอปิโดของผมขึ้นลงๆ พร้อมกับใช้ปลายจมูกถูไถไปมาที่กระโปกของผม
ไม่นานนักแท่งตอปิโดของผมก็ขยายขนาดและแข็งชูชันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พี่ต่อไม่รอช้า อ้าปากครอบซะจนมิดลำ ไออุ่นๆในปากของพี่ต่อยิ่งทำให้ตอปิโดของผมแข็งมากยิ่งขึ้น และเส้นเอ็นบริเวณลำกล้องก็ปูดโปนจนเห็นได้ชัด
พี่ต่อใช้ริมฝีปากรูดตอปิโดของผมขึ้นๆลงๆอย่างรัวถี่ๆ ผมรู้สึกเสียวจนครางออกมาอย่างสุดเสียง ตอนนี้ตัวของผมเกร็งไปหมด เนื่องจากความเสียวซ่าน ผมใช้มือจิกผมที่ศรีษะของพี่ต่อ โดยกดโยกขึ้นลงไปมาให้เข้ากับจังหวะ
ซักพักพี่ต่อเปลี่ยนมาใช้ลิ้นเลียตรงรอยหยักที่บริเวณหัวตอปิโดของผม และตวัดปลายลิ้นไปรอบๆบริเวณ
“พี่... ผมเสียวครับ... คนอะไรดูดเก่งชะมัด ดีครับ โอ๊ยๆ....” ผมบอกพี่ต่อด้วยน้ำเสียงที่สยิวจับใจ
ผมดึงตัวพี่ต่อมากอดจูบ โดยพลิกตัวพี่ต่อลงไปนอนเตียงและผมนอนทับบนตัวพี่ต่อ ผมก้มหน้าไปไซร้บริเวณลำคอของพี่ต่อ จากนั้นก็เลื่อนลงมาดูดตรงหัวนมทั้งสองข้าง ซักพักผมก็ใช้ลิ้นเลียลากยากจากบริเวณหัวนมลงไปที่สะดือ พอเลื่อนต่ำมาถึงป่าดงดิบอันหนาทึบของพี่ต่อ ผมก็ใช้ปลายจมูกลูบไล้สูดดมกลิ่นสาบเสน่หาของพี่แก
ส่วนมือข้างหนึ่งของผมก็ลูบๆเขี่ยๆตรงหัวนมข้างซ้าย ส่วนอีกข้างก็เล่นกับเจ้าแท่งอ้อยอันอวบยาวของพี่ต่อ ผมชักแท่งอ้อยของพี่แกขึ้นๆลงๆ ในที่สุดผมก็อ้าปากอมแท่งอ้อยของพี่แกจนมิดด้าม
ผมใช้ปากรูดแท่งอ้อยของพี่ต่อขึ้นๆลงๆ ตั้งแต่หัวยันโคน พี่ต่อกดหัวผมแน่นพร้อมทั้งกระเด้าลำตัวขึ้นๆลงๆประสานจังหวะ พอดูดแท่งอ้อยของพี่แกจนหนำใจแล้ว ผมก็ลากปลายลิ้นมาเลียบริเวณกระโปกลูกเงาะทั้งสองอย่างเมามัน
ผมเปลี่ยนอริยาบทมานอนทาบบนตัวพี่ต่อ
“ผมเย็ดพี่ได้ไหมครับ? กระดอผมไม่ได้เข้าตูดฟิตๆของพี่นานแล้ว” ผมกระซิบถามพี่ต่อ
พี่ต่อรีบตั้งท่าคลานและหันตูดเข้าหาผม ผมหยิบวาสลีนที่อยู่ในกระเป๋าข้างเตียงมาทาถูตรงตอปิโดของผม และทารอบๆปากถ้ำแก้วของพี่ต่อ พร้อมทั้งใช้นิ้วของผมลองยัดเข้าไปสำรวจความกระชับภายในถ้ำแก้วดู พอสอดนิ้วเดียวเข้าๆออกๆได้อย่างไม่มีปัญหา ผมก็ลองสอด 2 นิ้วดูบ้าง สอดยังไม่ทันสุดปลายนิ้ว พี่ต่อก็ร้องครางเสียงหลงออกมา
หลังจากสำรวจความกระชับทั้งภายในและภายนอกของถ้ำแก้วแล้ว ผมก็จัดการสอดเจ้าแท่งตอปิโดของผมเข้าไปอย่างช้าจนมิดลำ ก่อนที่จะซอยเข้าๆออกๆ ผมก็ใช้มือตบลงไปบนแก้มก้นของพี่ต่อเพราะความมันเขี้ยว
แรกๆผมค่อยกระเด้าซอยอย่างช้าๆ เนื่องจากกลัวพี่ต่อจะเจ็บ พอพี่ต่อส่งสัญญาณของเสียวออกมาแล้ว ผมก็ค่อยๆเร่งสปีดอย่างเต็มที่ ช่วงที่เร่งสปีดนี้ รู้สึกเสียวที่หัวดออย่างที่สุด ขณะที่ผนังถ้ำตอด สวรรค์ชั้น 7 ชัดๆ เวลาซอยถี่ๆได้ความรู้สึกทั้งมันส์ทั้งเสียวเหนือคำบรรยายจริงๆ ผมซอยเข้าๆออกๆอย่างไม่กั๊ก พร้อมกับใช้มืออีกข้างสาวว่าวให้พี่ต่อ ซักพักพี่ต่อทนความเสียวไม่ไหว พ่นพิษสีขาวๆขุ่นๆพุ่งออกมา
ถ้ำแก้วของพี่ต่อไม่ว่าจะเข้ามาสำรวจกี่รอบๆ ก็ยังคงฟิตกระชับเหมือนเดิม ไม่ได้หย่อนยานหรือหย่อนคล้อยเลย ในที่สุด เจ้าแท่งตอปิโดของผมก็ปล่อยกระสุนอุ่นๆออกมาข้างในถ้ำแก้วของพี่ต่อจนหมดถึงหยดสุดท้าย
ผมและพี่ต่อหันหน้ามาดูดปากกันอย่างดูดดื่ม เราสองคนนอนกอดกันจนเผลอหลับไปในสภาพที่เปลือยล่อนจ้อนทั้งคู่
วันรุ่งขึ้น พี่ทีขับรถพาพวกเราทั้งหมดขึ้นไปเที่ยวบนดอยตุง ส่วนตอนบ่ายก็ไปเดินเล่นช็อปปิ้งซื้อของที่ อ.แม่สาย โดยข้ามชายแดนไปพม่าตรงด่านท่าขี้เหล็ก ในขณะที่ทุกคนกำลังเดินช็อปปิ้งอย่างเพลิดเพลิน ผมขอแยกตัวออกมาเดินคนเดียวโดยอ้างว่า เจอคนรู้จักที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน อยากเดินไปทักทายพวกเขาซักหน่อย แต่ความจริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ จุดประสงค์หลักจริงๆก็คือ ผมแอบเดินไปซื้อโสร่งจากร้านถัดออกไปจากร้านที่บรรดาพวกพี่ต่อกำลังซื้อของอยู่
โสร่งที่ผมซื้อนั้น ไม่ได้เอาไว้ใส่เองหรอกครับ แต่เอาไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับพี่ที(พี่ทีอุตส่าห์มีน้ำใจพาผมมาเที่ยวฟรีกินฟรี ผมอยากจะให้ของขวัญวันเกิดแทนการขอบคุณในความมีน้ำใจของพี่เขาซักหน่อย) หลังจากซื้อแล้ว ผมก็แอบซ่อนเอาไว้ในถุงขนมเพื่อไม่ให้ใครเห็น
หลังจากที่เดินช็อปปิ้งที่แม่สายเป็นที่หนำใจแล้ว พวกเราก็กลับไปที่โรงแรมเพื่อพักผ่อนที่บริเวณสระน้ำของโรงแรม ทุกคนสนุกสนานกับการเล่นน้ำในสระ ซักพักหนึ่งผมจึงขอตัวกลับขึ้นไปบนห้องพัก โดยให้เหตุผลขุ่นๆน้ำเน่าๆว่า เศษฝุ่นผงเข้าตา จะไปล้างออกในห้องน้ำบนห้อง ซึ่งสะอาดกว่าน้ำในสระ
ความจริงแล้ว ผมแอบออกไปซื้อขนมเค้กวันเกิดสำหรับอวยพรวันเกิดให้พี่ทีในคืนนี้ (อันนี้ผมได้เตี๊ยมกับพี่ต่อและพี่บาสเอาไว้แล้ว) นอกจากนั้นผมก็ใช้เวลาที่เหลือ ห่อของขวัญวันเกิดให้กับพี่ที (ซึ่งก็คือ โสร่ง ที่ผมซื้อมาจากฝั่งพม่า)
พอเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องพักเพื่อกลับมาสบทบกับพวกพี่ๆที่สระว่ายน้ำ ทันใดนั้น พี่ทีก็เดินสวนเข้ามาตรงระเบียงทางเดินหน้าห้อง
“หายดีแล้วหรือเรา? ตาไม่แดงแล้วนี่” พี่ทีถามอย่างเป็นห่วง
“ค่อยยังชั่วแล้วครับ ผมกำลังจะเดินไปสมทบกับพวกพี่อยู่พอดี พี่ทีเล่นน้ำเสร็จแล้วหรือครับ?”
“เสร็จแล้วละ เหนื่อยว่ะ ทั้งขับรถด้วยและว่ายน้ำด้วย เออ... เราอยู่นี่ก็ดีแล้ว พี่จะได้มีเพื่อนคุย ปล่อยให้ไอ้สองตัวนั่นมันว่ายน้ำแข็งกันจนได้เหรียญทองโอลิมปิคกันเถอะ” พี่ทีชวนผมเข้ามานั่งคุยในห้อง
ผมกับพี่ทีคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆอย่างถูกคอ ซักพักหนึ่งพี่ทีเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ตรงโต๊ะเล็กๆใกล้กับเตียงนอน พี่ทีเปิดกระเป๋าสตางค์พร้อมกับดึงแผ่นกระดาษเล็กๆคล้ายๆนามบัตร ออกจากกระเป๋า
“กันต์.... นี่นามบัตรของพี่ ถ้ากันต์ได้มีโอกาสไปเที่ยวกรุงเทพ อย่าลืมติดต่อพี่ตามที่อยู่และเบอร์โทรในนามบัตรนี้นะ พี่รู้สึกถูกชะตากับเรา เห็นเราเป็นเด็กดี คุยเก่ง มีสัมมาคารวะ และก็จริงใจ ใสซื่อ แต่พี่ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม? อย่าบอกไอ้ต่อเด็ดขาดว่า พี่ให้นามบัตรกับกันต์ ไม่ใช่อะไรหรอก พี่กลัวไอ้ต่อมันกัดและแซวพี่ อีกอย่างก็กลัวมันจะเข้าใจผิดด้วย” พี่ทีสั่งกำชับผม
“ขอบคุณมากครับสำหรับนามบัตร พี่วางใจได้ และไม่ต้องกลัวว่าผมจะบอกพี่ต่อ ผมรับรองได้ด้วยเกียรติของลูกเสือ” ผมรับปากเชิงติดตลกนิดๆ
“ขอบใจมาก กันต์น่ารักแบบนี้ไง พี่ถึงได้เอ็นดูแบบน้องแบบนุ่ง” พี่ทีพูด พลางกระเถิบตัวเข้ามาใกล้ผมทีละนิดๆ
ใจของผมเต้นตุ๊บๆตั๊มๆไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าเริ่มจะร้อนผ่าวๆนิดๆ เวลานี้ผมไม่กล้าสบตา มองหน้าพี่ทีมาก เนื่องจากความเขินอายอย่างสุดๆ
“พอพี่เขยิบเข้ามานั่งใกล้ชิดถึงกับหน้าแดงตัวสั่นเชียวหรือ?” พี่ทีแซวผม พร้อมกับใช้มือลูบไล้ที่บริเวณกลางหลังของผม
ผมนั่งนิ่งไปชั่วขณะ ผมรู้สึกตื่นเต้นและคาดไม่ถึงว่าพี่ทีจะพิศวาสผมถึงเพียงนี้ พอรวบรวมสติได้ อาการใจกล้าหน้าด้านก็กำเริบทันที ผมก็ใช้นิ้วมือลูบๆเขี่ยวตรงบริเวณหัวนมของพี่ที
พี่ทีใช้แขนทั้งสองโอบรวดตัวผมเข้าแนบประชิดกับตัว พี่ทีก็ใช้มือล้วงพรืดเข้าไปในกางเกงในของผม อย่างไม่มีคำเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น พี่ทีใช้นิ้วลูบๆบริเวณหัวดอของผมอย่างทะนุถนอม
“ดอใหญ่จริงๆนะเรา เห็นตัวเล็กแค่นี้ ซ่อนรูปนี่หว่า” พี่ทีพูดอย่างตกตะลึง
“พี่ทีก็พูดเกินไปครับ” ผมพูดอย่างเขินๆ
พี่ทีบรรเลงเพลงสวาทโดยใช้ริมฝีปากเข้าประกบกับริมฝีปากของผม เราทั้งสองจูบแลกลิ้นกันอยู่ประมาณไม่ถึงนาที ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมกับพี่ทีต่างตกใจจนอารมณ์สวาทหดหายไปจนหมดสิ้น ใครหนอช่างมาขัดคอในเวลาที่อ้อยกำลังจะเข้าปากช้างตอนนี้ ช่างไม่รู้จักกาลเทศะจริงๆ
ผมรีบวิ่งอย่างเบาๆ ค่อยๆย่องไปตรงประตูที่สามารถเปิดทะลุไปยังห้องของผมได้ ส่วนพี่ทีก็รีบใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ ทำเหมือนกับว่ากำลังอาบน้ำอยู่
พอผมกำลังจะปิดประตูที่เชื่อมห้องผมกับห้องพี่ที พี่ต่อก็เปิดประตูหน้าห้องเข้ามาพอดี ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อย อะไรมันจะบังเอิญประจวบเหมาะกันขนาดนี้นะ พี่ต่อกับพี่บาสกลับมาที่ห้องเร็วจังเลย
“พี่ต่อ.... ทำเอาผมตกใจหมดเลย เดี๋ยวพี่ทีก็สงสัยหรอก” ผมแกล้งทำเนียนพูดเบี่ยงเบนสถานการณ์
“กันต์เข้าไปทำอะไรในห้องโน้นมา?” พี่ต่อถามอย่างสงสัย
“ผมแค่เปิดประตูแง้มดูนิดๆ ว่าใครเข้ามาในห้อง พี่ที หรือ พี่บาส? เพราะตอนที่ผมกำลังเอาขนมเค้กมาซ่อนไว้ ผมได้ยินคนเปิดประตูเข้ามาในห้องโน้น ผมกลัวว่าจะเป็นพี่ที เดี๋ยวแผนที่เราวางไว้ก็แตกกันพอดี ผมเลยลองเปิดแง้มๆแอบไปดูว่าใครเข้ามา แต่ไม่เห็นมีใครเลย ดังนั้นผมจึงลองเปิดประตูกว้างๆเข้าไปดูให้เห็นอย่างเต็มตา แต่ก็ยังไม่เห็นใคร เห็นแค่ประตูห้องน้ำปิดไว้ สงสัยใครคนใดคนหนึ่งคงจะอยู่ในห้องน้ำ” ผมแจกสตอเบอร์รี่ให้พี่ต่อไปหลายกระบุง แถมยังชักแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัย ทั้งที่ในใจนั้นเต้นตุ้มๆต่อมๆ
“เป็นแบบนี้เอง แล้วก็ไม่บอกพี่ให้ละเอียด มาทำลับๆล่อๆแบบนี้ ทำให้พี่คิดไปต่างๆนานาๆ เดี๋ยวต้องทำโทษซะแล้ว” พี่ต่อดึงกางเกงพร้อมกางเกงในของผมลงไปกองกับพื้น และนั่งคุกเข่าต่อหน้าผม (คงรู้นะครับว่า พี่ต่อทำโทษผมด้วยวิธีไหน?)
พี่ต่อจัดการถวายบัวให้ผมอย่างเมามันส์ ทั้งดูด ทั้งอม ทั้งเลีย ทั้งตวัดลิ้นบริเวณรอยหยักตรงหัวกระดอของผม จนผมเสียวสะท้านไปทั่ว ร้องครวญครางออกมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ผมกระเด้าดันเจ้าแท่งตอปิโดเข้าๆออกๆในปากของพี่ต่อจนมิดลำ พี่ต่อสำลักความคึกของตอปิโดผมจนหาจังหวะผ่อนคลายเป็นช่วงๆ ซักพักผมจับหัวของพี่ต่อกดเข้าไปตรงหัวหน่าวและดันตอปิโดเข้าปากพี่แกจนมิดลำ ผมเกร็งไปทั้งตัวพร้อมกับพ่นพิษสีขาวๆขุ่นๆเข้าไปในลำคอของพี่ต่ออย่างเต็มเหนี่ยว พี่ต่อดูดกลืนน้ำเงี่ยนของผมอย่างเอร็ดอร่อย
คืนวันนั้น พวกเราเซอร์ไพร์สวันเกิดให้กับพี่ทีอย่างสนุกสนาน โดยการหลอกพี่ทีให้ไปเอาของในรถ และพวกเราก็พากันไปซ่อนในตู้เสื้อผ้า(ซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้ 3-4 คน) และจุดเทียนปักขนมเค้กในนั้น
สรุปแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ลิ้มรสสวาทของพี่ทีอย่างเต็มรูปแบบเสียที เพราะเวลาและโอกาสไม่เอื้ออำนวย หลังจากกลับมาจากเชียงราย พี่ทีก็เบิ่งรถเข้ากรุงเทพทันที เพราะต้องรีบไปเรียน อดแดรกเลยตรู!!!!!
...........................................................
มาถึงตอนนี้คงมีหลายคนอยากจะรู้ว่า ตกลงผมจะได้ลิ้มรสชาติเจี๊ยวหวานของพี่ที หรือเปล่า? ไม่บอกครับ ถ้าอยากรู้โปรดติดตามตอนต่อๆไปนะครับ
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับพี่ทีอีกเลย ส่วนพี่ต่อนั้นคงไม่ต้องถาม เพราะยังคงติดต่อกันอยู่เป็นนิจ (โดยเฉพาะตอนที่รู้สึกเงี่ยน จะติดต่อกันมากเป็นพิเศษ)
.....................................................
ปี 2537 เข้าสู่ปี 2538 หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะเข้ามาเป็นนักศึกษาปีที่ 1 เมื่อวานนี้เอง เผลอแป๊บเดียวจะขึ้นปี 2 แล้ว แต่การขึ้นปี 2 ของผมไม่ธรรมดาเสียด้วย (อยากรู้ก็ต้องติดตามอ่านไปเรื่อยๆครับ)
ขอย้อนไปช่วงเทอม 2 ของชั้นปีที่ 1 ซักนิด ตอนนั้นผมได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการนักศึกษาแลกเปลี่ยนระหว่างมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคต่างๆ (ความจริงคนที่ได้สละสิทธิ์ ส้มเลยมาหล่นใส่ผม) เป็นระยะเวลา 1 ภาคเรียน เรียกง่ายๆว่า 1 เทอม นั่นเอง (ประมาณ3เดือนกว่าๆ)
เพราะฉะนั้น ในภาคเรียนที่ 1 ของชั้นปีที่ 2 ของผม (ปี 2 เทอม1) ผมจะต้องไปเรียนในมหา'ลัยที่ผมได้รับการคัดเลือกให้ร่วมโครงการ สำหรับมหา'ลัยที่ผมจับสลากได้นั้น คือ มหา'ลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในภาคใต้ (แจ๊คพ๊อตจริงๆเลยตรู ไกลมากๆ ตอนแรกแอบหวังไว้ว่าจะได้ไปกินส้มตำเผ็ดๆแซ่บๆ แกล้มกับใส้กรอกอีสานดุ้นโตๆ ที่เมืองเสียงแคนแห่งแดนอีสาน หรือไม่ก็ไปจับปลาดุกทะเลหัวแดงๆบานๆ ตัวเขื่องๆอวบๆยาวๆเล่นที่ชายหาดบางแสน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น คงจะได้ไปเดินล่าหนุ่มหล่อที่แถวๆนครปฐม)
ตอนแรกๆ ผมยังลังเลอยู่ว่าจะไปหรือไม่ไป แต่จนแล้วจนรอด สัญชาติญาณนักผจญภัยสั่งการให้ผมใส่เกียร์เดินหน้าลุยมันเข้าไป
มหา'ลัยที่ว่านี้มี 2 วิทยาเขต(ในสมัยนั้น) ผมดันคิดว่าจะได้ไปวิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งค่อนข้างจะคึกคักตื่นตาตื่นใจมาก (เพราะเป็นเมืองใหญ่ ที่สำคัญคือ ขึ้นชื่อในเรื่องของการช็อปปิ้ง) แต่พอมาเช็ครายละเอียดกำหนดการดูอีกทีก ผมแทบจะคว่ำหน้าขว้ายาดมแทบไม่ทัน มันเป็นไปได้อย่างไร!
สรุปคือ ผมต้องไปที่วิทยาเขตปัตตานี แจ็คพ๊อตสองเด้งอีกแล้วเหรอตรู หาดใหญ่ว่าไกลแล้วนะนั่น เจอปัตตานีเข้าไป ไกลเพิ่มขึ้นอีกตั้งเกือบๆร้อยกิโล ยิ่งมีข่าวผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนด้วยซิ แค่คิดก็เสียววาบๆชนิดที่ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ถ้าเป็นภาษาเหนือเรียกว่า "ขนคิงลุกซู่" (สมัยนั้นความรุนแรงยังไม่ค่อยลุกลามใหญ่โตและบานปลายมากเหมือนกับในสมัยนี้)
จะทำอย่างไรดีเรา สละสิทธิ์ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงอาทิตย์ต้องเดินทางไปรายงานตัว ทำไมเราถึงสะเพร่าแบบนี้ แทนที่จะอ่านดูรายละเอียดทั้งหมดก่อนว่า เป็นวิทยาเขตไหนกันแน่ (สับสนเพราะดูจากชื่อมหาลัยเพียงอย่างเดียวแล้ว ยืนยันฟันธง 100% ได้เลยว่าจะต้องเป็นที่หาดใหญ่แน่นอน) เอาละว่ะ เป็นไงเป็นกัน ใส่เกียร์เดินหน้าแล้ว ต้องไม่มีคำว่าถอย
ในที่สุดผมก็ดั้นด้นมาถึงวิทยาเขตปัตตานีจนได้ ด้วยสภาพที่เยินสุดๆเหมือนกับโดนรุมโทรมข้ามวันข้ามคืน ไม่ใช่... พูดผิดไป ด้วยสภาพอิดโรย เล่นนั่งรถไฟจากเชียงใหม่มาสถานีหัวลำโพง 11ชั่วโมงกว่า และในวันเดียวกันนั้นเอง ต่อด้วย... สถานีหัวลำโพงมาที่หาดใหญ่อีก 14-15 ชั่วโมง และนั่งรถแท็กซี่จากหาดใหญ่มาที่ปัตตานีอีกชั่วโมงกว่าๆ รวมแล้วเบ็ดเสร็จก็ประมาณเกือบๆ 28 ชั่วโมง อาจจะขาดๆเกินๆมานิดหนึ่ง ปัดเศษปัดจุดทศนิยมกันเองนะ (ถ้าเป็นสมัยนี้ง่ายนิดเดียว แค่นั่งหางแดงบินตรงจากเชียงใหม่มาหาดใหญ่ ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเอง)
พอมาถึงในมหา'ลัย “พี่พล” รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา มีหน้าที่คอยติดต่อธุระประสานงานเรื่องต่างๆให้ผม ในระหว่างที่ผมพักอยู่ที่ปัตตานี พี่พลพาผมไปรายงานตัวเข้าหอพักชายกับอาจารย์แม่บ้านประจำหอ
หอพักชายที่ผมเข้าพักนั้น เป็นหอพักชายที่ไม่รับนักศึกษาชายทั่วไปเข้าพัก นักศึกษาชายที่จะเข้าพักในหอพักนี้ได้จะต้องเป็นนักศึกษาชายจากวิทยาลัยอิสลามศึกษาหรือไม่ก็นักศึกษาที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น (วิทยาลัยอิสลามศึกษา ในสมัยนั้นเป็นแค่เพียงคณะหนึ่งในวิทยาเขตแห่งนี้) ส่วนนักศึกษาชายทั่วไปก็พักตามหอพักชายต่างๆ หอพักชายในมหา'ลัยมีทั้งหมด 4 หอพัก (รวมทั้งหอพักนักศึกษาวิทยาลัยอิสลามศึกษาแล้ว)
ผมคิดอยู่ในใจว่า ทำไมไม่ให้ผมพักในหอพักนักศึกษาชายธรรมดาทั่วไป? ทำไมถึงต้องเจาะจงให้พักในหอพักพิเศษนี้ด้วย? (ผมได้ถามพี่พลในตอนหลัง คำตอบที่ได้คือ พี่พลต้องการให้ผมได้รู้ได้เห็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แปลกแตกต่างไปจากท้องถิ่นของผม ถ้าเอาผมไปพักในหอพักนักศึกษาชายทั่วไป สภาพแวดล้อมที่ผมสัมผัส มันจะเดิมๆไม่แตกต่างอะไรมากนักกับมหา'ลัยของผม)
พี่พลและอาจารย์แม่บ้านเดินไปส่งผมถึงหน้าห้องพัก หลังจากนั้นต่างคนก็ขอตัวแยกย้ายกลับไปทำธุระของตน ผมเดินถือกระเป๋าสัมภาระเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นก็มีหนุ่มน้อยหน้ารูปงาม หน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม โครงหน้าออกไปทางแขกขาว ดูๆไปคล้ายกับพระเอกหนังแขกอาหรับไม่มีผิด หันหน้ามามองผมพร้อมกับยิ้มทักทาย
“สวัสดี... นายคงเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน เห็นอาจารย์แม่บ้านบอกไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนว่าจะมีนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากมหา'ลัยอื่น มาพักในห้องนี้ ” หนุ่มน้อยหน้าแขกเอ่ยุถาม
“ใช่แล้ว... เราชื่อ กันต์ อยู่ปี 2 นายชื่ออะไร?” ผมแนะนำตัว
“แซยิด ปี 2 เหมือนกัน นายมาจากมหา'ลัยไหน?” แซยิดยังคงถามผมต่อไป
“เรามาจากมหา'ลัย...... ในห้องนี้ถ้ารวมตัวเราด้วยจะมีอยู่ทั้งหมด 6 คนใช่ไหม?” ผมมองดูเตียงสองชั้น ซึ่งมีทั้งหมด 3 เตียง ตั้งตระหง่านอยู่ตามหัวมุมต่างๆในห้อง
“ไม่ถึง 6 คนหรอก มีอยู่ด้วยกัน 3 คน ปี 2 ทั้งหมดเลย รวมตัวนายด้วยก็ 4 คน เตียงตรงใกล้ประตูระเบียงหลังห้องยังว่าง นายก็เลือกเอาเองละกันว่าจะนอนชั้นบนหรือว่าชั้นล่าง” แซยิดชี้ไปที่เตียงดังกล่าว
“ห้องน้ำอยู่ตรงไหน? เหนียวตัวชักอยากอาบน้ำแล้วซิ” ผมถามแซยิด
........................................................
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินมาที่ห้อง (ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม เวลาเดินไปอาบน้ำ หลายคนจะนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเดินไปห้องน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนกระทำกันอย่างปรกติ) ขณะที่ผมกำลังใส่กางเกงในโดยมีผ้าเช็ดตัวคลุมปิดบริเวณส่วนล่างอยู่นั้น ผมสังเกตเห็นแซยิดจ้องมองอย่างไม่วางตา ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น แถมยังหยอกไก่อีกต่างหาก ด้วยการดึงผ้าเช็ดตัวออกให้เหลือแค่กางเกงในตัวเดียว
“โอ้โห... ผิวนายขาวมากๆ คนเหนือผิวดีจริงๆ” แซยิดพูดไปมองผมไป
ผมเขินจนพูดอะไรไม่ออก ค่อยๆใส่เสื้ออย่างช้าๆ เพื่อหยั่งเชิงฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูห้องเข้ามา ผมรีบหยิบกางเกงมาใส่แทบไม่ทัน
คนที่เปิดประตูห้องเข้ามาคือ รูมเมทอีก 2 คน ผมได้แนะนำตัวและพูดคุยทักทาย จึงทราบชื่อว่า คนหนึ่งชื่อ “เล๊ะ” และอีกคนหนึ่งชื่อ “ดุล”
(ผมไม่ค่อยสนิทกับ “เล๊ะ” และ “ดุล” เท่าไหร่ เพราะพวกเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา บางครั้งก็ดูจริงจังกับชีวิตมากเกินไป ผิดกับแซยิดที่คุยเก่ง ดูเป็นกันเอง และมีมิตรไมตรี ที่สำคัญคือ หน้าตาน่ากินมากๆ คงจะแซ่บไม่หยอก)
ผมคุยกับแซยิดได้ซักพัก แซยิดก็ออกไปเรียน ช่วงเกือบเที่ยงของวันนั้น ผมถือโอกาสออกไปเดินสำรวจรอบๆมหา'ลัยไปในตัว
ผมเดินตรงไปที่ทะเลโคลนก่อน จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้ามาทางมหา'ลัย โดยผ่านลานเล ซึ่งเป็นชื่อของโรงอาหารที่ 2 ของมหา'ลัย ผมรู้สึกหิวเลยแวะเข้าไปหาอะไรทาน ระหว่างเดินเข้าไปในโรงอาหาร มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา...
“ไอ้หน้าอ่อน ทำไมมึงไม่ใส่ชุดนักศึกษา? เก๋าตั้งแต่ปี1 เลยนะมึง อยากลองดีหรือไง กูบอกต่อหน้าแถวไปแล้วใช่ไหมว่า ช่วงรับน้องห้ามใส่กางเกงยีนส์เด็ดขาด มึงฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง? คิดว่ามึงแน่มากนักหรือ?”
ผมเดินต่อไปโดยไม่สนใจเสียงเห่าที่ดังขึ้นมา ซักพักมีมือข้างหนึ่งมาจับที่ต้นแขนผม ผมหันหน้ามองด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
“กูพูดกับมึง ทำไมมึงต้องเดินหนีกูด้วย อยากโดนดีหรือไง ” เจ้าของน้ำเสียงตะคอกใส่ผม
ผมจ้องมองหน้าไอ้คนที่บังอาจมาตะคอกใส่ผม ด้วยสายตาเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ ไอ้บ้าคนนี้มันเป็นใคร ถึงกล้ามาเบ่งใส่ผมอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ความจริงหน้าตาของมันก็โคตรจะหล่อ (หล่อแบบกวนๆแกมทะลึ่งทะเล้นนิดๆ) แถมหุ่นก็ดีมีเซ็กส์แอ๊ปพีลสูง หุ่นแบบนี้พวกเกย์ชอบนัก แต่ทำไมคำพูดคำจาของมัน… dog doesn’t eat จริงๆ
“อย่ามายุ่งกับผม ผมไม่ใช่เด็กปี1 ที่คุณจะมาใช้อำนาจความเป็นรุ่นพี่มาบีบบังคับ ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมเป็นใคร ไปถามพี่พล เอกภาษาจีน แล้วจะรู้เอง กรุณาถอยไป... ผมขอร้องคุณดีๆนะครับ หากคุณยังไม่ฟังและยังไม่หยุด เรื่องนี้ถึงหูอธิการบดีแน่” ผมพูดตอกกลับอย่างสุภาพชน ปนขู่นิดๆ ผมเดินไปเข้าคิวซื้ออาหารอย่างไม่สะทกท้านใดๆ
ที่วิทยาเขตแห่งนี้ นักศึกษาทุกคนทุกชั้นปี ไม่ว่าชายหรือหญิงจะรู้จักกันหมด (ยกเว้นกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยอิสลามศึกษา ที่แยกกลุ่มไปสมาคมต่างหาก พวกเขามีสังคมของตัวเอง ไม่ค่อยจะข้องเกี่ยวกับนักศึกษาทั่วไปเท่าไหร่นัก อันนี้เป็นกรณีพิเศษ) เพราะวิทยาเขตมีขนาดเล็ก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นักศึกษาทั้งหมดจะรู้จักกัน
ตอนเย็นพี่พลมาหาผมที่หอพักเพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันในโรงอาหาร พี่พลบอกว่า เป็นความเข้าใจผิดของพวกรุ่นพี่ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการรับน้องใหม่ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยเห็นหน้าผมมาก่อน เลยสรุปเอาเองว่า ผมต้องเป็นนักศึกษาปี1 แน่ๆ ส่วนไอ้หน้าหล่อที่บังอาจมาตะคอกใส่ผมเมื่อตอนกลางวัน ชื่อ “พัฒน์” (ขอเรียกว่า “ไอ้พัฒน์”ละกัน หมั่นใส้มัน) เป็นหัวหน้าว๊าก ไอ้พัฒน์เรียนอยู่ปี2 (ปีเดียวกับผมนั่นเอง)
......................................................................
สองสัปดาห์ผ่านไป ผมเริ่มรู้สึกเบื่อๆเพราะบรรยากาศในมหา'ลัยและตัวเมืองปัตตานี เงียบสงบ ร่มรื่น ได้บรรยากาศธรรมชาติมากถึงมากที่สุด ไม่มีความพลุกพล่าน ไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจเลย
วันจันทร์ถึงศุกร์ ผมไปเข้าห้องเรียนหรือไม่ก็ไปเข้าร่วมกิจกรรมตามแต่โครงการจะกำหนดให้ทำ ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นั้น ถ้าไม่ไปเดินเล่นรับลมทะเล ดูปลาตีนบริเวณทะเลโคลน ผมก็นั่งรถสองแถว (คนที่นั่นเขาเรียกว่า “รถป๊อกๆ” ) เข้าไปเดินเล่นในตัวเมืองปัตตานี โดยเฉพาะห้างไดอาน่า ไปจนพนักงานทุกชั้นทุกแผนกจำหน้าได้หมด ผมไม่ค่อยชอบรรยากาศมหา'ลัยในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพราะเงียบสงัดวังเวงมากๆ (นักศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาในท้องถิ่น พอถึงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ต่างกลับบ้านกันหมด)
“พรุ่งนี้วันเสาร์อีกแล้ว เบื่อ เบื่อ เบื่อ และโคตรเบื่อจริงๆ” ผมบ่นกับแซยิด
“ถ้านายเบื่อ หรือไม่มีอะไรทำ ไปเที่ยวบ้านเราไหม?” แซยิดกล่าวเชิญชวน
ผมใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ รู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่หนุ่มหน้าแขกเอ่ยปากเชิญชวน ช่างโชคดีนาทีทองอะไรแบบนี้ ผมพยายามหาโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดกับแซยิดในห้องสองต่อสองเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้เสียที เพราะเล๊ะกับดุลอยู่ในห้องเกือบตลอดเวลา ผมมีโอกาสอยู่กับแซยิดสองต่อสองเฉพาะในตอนเย็นช่วงกินข้าวเท่านั้น เพราะเราทั้งสองมักจะไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แซยิดใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุด ทั้งทำการบ้านและอ่านหนังสือ (เขาเป็นเด็กเรียน ส่วนเราเป็นเด็กแรดปนร่าน)
“ขอบใจมาก แต่มันจะดีหรือ? เราเกรงใจที่บ้านนาย ไม่อยากไปรบกวน” ผมพูดเพื่อสงวนท่าทีไม่ให้ดู “คันคะเยอ” จนน่าเกียจเกินงาม
“รบกวนอะไรกัน นายคิดมากไปเอง เราว่านายต้องชอบบ้านเราแน่ๆ พ่อกับแม่เราใจดี ท่านชอบคุยกับคนต่างถิ่น คุยได้ทุกเรื่อง ยิ่งนายเป็นคนคุยเก่งด้วยแล้ว รับรองคุยกันสนุกแน่ๆ แม่เราทำอาหารอร่อยนะ แล้วเราจะขี่มอเตอร์ไซด์พานายเที่ยวรอบตัวเมืองยะลา” แซยิดพูดให้ผมคล้อยตาม
ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้คำตอบของผมนะครับ.... (ฮิๆๆๆ.....) บ้านของแซยิดอยู่ที่อ.เมือง จ.ยะลา จากปัตตานีไปยะลา ระยะทางประมาณ กิโลเมตร
พ่อของแซยิดเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในตัวเมือง ส่วนแม่ของแซยิดทำงานอยู่ที่ว่าการอำเภอ แซยิดเป็นลูกชายคนโต โดยมีน้องสาวคนเล็กซึ่งอายุห่างกันไม่มากนัก น้องสาวเรียนอยู่ชั้นม.6 (อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม) ครอบครัวของแซยิดเป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ทุกคนให้การต้อนรับผมอย่างดี
ผมนอนห้องเดียวเตียงเดียวกับแซยิด ผมนอนไม่ค่อยหลับพยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ไม่หลับเสียที ส่วนแซยิดนั้นนอนหลับตั้งแต่หัวถึงหมอน ผมมองแซยิดนอนพลิกตัวไปมา (จากที่ได้สังเกต แซยิดเป็นคนนอนดิ้น) ซักครู่หนึ่ง แซยิดก็พลิกตัวหันมาทางผม หัวใจผมเกือบตกไปอยู่ตรงหัวหน่าว เมื่อเห็นปลายโสร่งของแซยิดมีสภาพกึ่งหลุดหลุ่ย แซยิดเวลานอนไม่ใส่กางเกงในซะด้วย ถ้าพลิกตัวอีกนิด แซยิดน้อยก็จะโผล่ออกมารับลมเล่นในยามราตรี
ผมพยายามใช้มือค่อยๆจับโสร่งของแซยิด เพื่อใช้ปกปิดก่อนที่แซยิดน้อยจะโผล่ออกมา บังเอิญแซยิดพลิกตัวอีกรอบหนึ่ง เลยทำให้มือของผมไปโดนส่วนหัวของแซยิดน้อยเข้าอย่างเต็มๆ ขอบอกว่ากล้ามเนื้อตรงส่วนนั้นแน่นมาก เวลานี้ใจของผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งสั่นทั้งตื่นเต้นเหมือนกับผจญภัยในดงกล้วย ผมค่อยๆใช้มือลูบบริเวณต้นขาข้างลำตัวของแซยิดอย่างเบาๆ เพื่อพิสูจน์อาการตอบสนองของฝ่ายตรงข้าม ผมลูบไปได้ไม่ถึง 2 นาที แซยิดก็พลิกตัวหันหน้ามาทางผมอีกครั้งเหมือนกับจงใจ แต่คราวนี้ทำเอาผมตกตะลึงเลยทีเดียว เจ้าแซยิดน้อยเกิดอาการขยายตัวแปลงร่างเป็นงูอนาคอนด้าที่ทั้งใหญ่ทั้งยาว โผล่ทะลุผ้าโสร่งออกมาสัมผัสกับโลกภายนอก
หัวกระดอของแซยิดเป็นหัวกระดอเปิด สีแดงอมชมพู ตัวลำกล้องนั้นทั้งอวบทั้งยาวสวยมาก ผมแกล้งนิ้วมือลูบๆแตะๆบริเวณหัวหน่าวที่โกนขนอย่างราบเรียบเป็นหน้ากลอง จากนั้นก็ค่อยเลื่อนมือลงมาลูบคลึงตรงหัวกระดอที่เปิดบานเป็นดอกเห็ด
เมื่อแซยิดทำท่าจะพลิกตัวอีกรอบหนึ่ง ผมจึงหยุดการกระทำ พร้อมกับดึงมือของผมออกมา
“ทำต่อซิ กำลังสบายตัว” แซยิดกระซิบบอกผม
พออีกฝ่ายไฟเขียวให้ผมใส่เกียร์เดินหน้าอย่างเต็มที่ จะรอช้าอยู่ทำไม ผมจัดการบรรเลงเพลงสวาททันที ผมดึงโสร่งของแซยิดออก พร้อมกับใช้มือจับกระดอของแซยิดรูดขึ้นลงตามจังหวะ ส่วนจมูกของผมนั้นก็ดอมดมหากลิ่นสาบเสน่หาที่ตรงกะโปกและลูกชิ้นเอ็นทั้ง 2 ลูก
เมื่ออนาคอนด้าของแซยิดแข็งตั้งชูชันพร้อมรบอย่างเต็มอัตราศึกแล้ว ผมจึงอ้าปากครอบอนาคอนด้าจนมิดลำ กระดอของแซยิดยาวได้ใจมากๆ เกือบจะทิ่มลิ้นไก่ผมอยู่แล้ว ผมรูดลำลึงค์ของแซยิดขึ้นๆลงๆอย่างช้าๆ สลับกับใช้ลิ้มเลียรอบบริเวณหัวดอ พร้อมกับตวัดปลายลิ้นตรงรอยหยักเส้นเสียว
แซยิดนอนแผ่หราอยู่บนเตียง พร้อมทั้งส่งเสียงครวญครางด้วยอารมณ์สุดเสียว ผมอมและดูดกระดอของแซยิดอย่างเมามัน จากนั้นผมก็เลือนตัวขึ้นมาทับบนตัวของแซยิดเพื่อที่จะจูบปากและซอนไซร้ที่ตรงลำคอลากลงมาถึงบริเวณหัวนม แต่แซยิดห้ามไว้ บอกว่ารู้สึกแปลกๆ เพราะว่ายังไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน (ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย) นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ยอมให้คนอื่นจับและดูดอวัยวะเพศ เขาขอให้ผมโม๊คให้อย่างเดียวก่อน คราวหน้าถ้าเขารู้สึกเคยชินมากกว่านี้ เขาค่อยอนุญาติให้ผมจัดการล่าสวาทแบบครบเครื่องเต็มรูปแบบไปทีละนิดทีละหน่อย
ผมก้มลงไปโม๊คกระดอให้แซยิดต่ออย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ส่วนมืออีกข้างก็ลูบใล้ลูกชิ้นเอ็นทั้ง 2 ลูก อย่างทะนุถนอม ซักพักแซยิดเกร็งตัวพร้อมกับร้องเสียงหลงออกมา ทันใดนั้น น้ำกำหนัดสีขาวข้นหนืดๆอุ่นๆของแซยิด ก็พุ่งทะลักเข้าสู่ในลำคอของผม
คราวนี้ก็มาถึงคิวของผมบ้าง ผมใช้มือจับอนาคอนด้าของแซยิดเล่นๆ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ใช้ชอลิ้วเฮียงให้กับแท่งตอปิโดของผม จนน้ำอสุจิของผมพุ่งทะลักออกมาจากลำกล้อง
หลังจากคืนนั้นแล้ว แซยิดเริ่มจะติดใจในฝีปากของผมเข้าไปทุกที ยิ่งช่วงไหนที่ เล๊ะ กับ ดุล กลับบ้านไปพร้อมกันโดยเหลือแค่แซยิดกับผมอยู่ในห้องด้วยกันสองคน แซยิดก็มักสะกิดผมให้ช่วยเอาน้ำแป้งเปียกคาวๆสีขาวขุ่นออกจากกระบอกปืนใหญ่ อยู่ตลอดเวลา
ประสบการณ์ ต่าง ๆ รวบรวมมาที่นี้ที่เดียว (เกย์)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เด็กหอ 8 CP
มื่อกานต์เก็บของจากห้องตัวเองเสร็จ จึงมาหาอาจารย์ภัทรที่ห้อง ส่วนภัทรอาบน้ำทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อย ควยของภัทรแข็งรอกานต์อยู่นานแล้ว &...
-
หลังเสียงเพลงชาติจบลง ร่างสูงขาวของหนุ่มนักเรียนชั้น ม.6 ในฐานะประธานนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้เดินขึ้นกล่าวกับนักเรียนทุกระดับ ชั้นถึงเรื่...
-
มาถึงตอนนี้ ไอ้หมาเสือ รู้สึกตัวเองแล้วว่า มันกำลังหลงใหลดำดิ่งลงใน “โลกของทาสหมา” อย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับมันในช...
-
ทัพ หนุ่มนักเรียนวิศวะ ผู้มีความหล่อระดับเดือนคณะ เป็นนักกีฬามหาลัย ชอบออกกำลังกาย ชอบว่ายน้ำ ชอบเล่นฟุตบอล เป็นที่หมายตาของสาวๆหลายๆคน ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น