วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ใช้หนี้บอล...ด้วยความเสียว 13

เสียงนาฬิกาแบบโบราณจากห้องใดห้องหนึ่งในอพาร์ทเม้นท์ราคาถูกตีบอกเวลาเที่ยงคืน คนเช่าส่วนมากเป็นนักศึกษา เนื่องจากทำเลของมันอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เด็กหลายๆคนฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มาเรียนที่นี่ บนดาดฟ้าของตึกชายหนุ่มสามคนนั่งกอดเข่านิ่งเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
"พวกนายไม่ต้องทำแบบนี้เพื่อเราก็ได้นะ" ชายหนุ่มผิวขาวจัดเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบงันยามดึกสงัด
"กูตัดสินใจไปแล้วยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยน อีกอย่างถึงพวกเราอยากเปลี่ยนพวกบ้านั่นก็คงไม่ยอม" หนุ่มหุ่นล่ำพูดขึงขัง
"เรื่องอะไรที่มันผ่านมาแล้วก็อย่าไปคิดถึงมันเลย คิดว่าจะเอายังไงกับอนาคตข้างหน้าดีกว่า" ชายหนุ่มสูงโปร่งคนสุดท้ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียด
ทั้งวงกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง เรื่องที่ทั้งสามคนคิดล้วนแต่เป็นเรื่องหนักใจของพวกเขาทั้งนั้น เดินที่ไม่อยากไปต่อ แต่ไม่มีทางให้เดินกลับหลัง
................................................................................................................................................................
"กูหิวแล้วจะออกไปซื้ออะไรหน่อย มึงจะเอาอะไรมั๊ย" ป้องสะกิดต้นตั้งแต่เช้า ทั้งสามคนแทบจะไม่ได้นอนกันทั้งคืนจนพระอาทิตย์เรื่มจะทอแสงขึ้นรำไร สามหนุ่มถึงค่อยเข้าสู่นิทรา
"กี่โมงแล้วว่ะ" ต้นถามด้วยความงัวเงีย
"จะบ่ายสามแล้ว ตื่นได้แล้วจะเย็นแล้ว เดี๋ยวก็ได้นอนเป็นหินอยู่ตรงนี้หรอก" ป้องทำเป็นพูดขำ แม้จะแฝงไปด้วยน้ำเสียงเครียด
"เอากะเพราหมูไข่ดาวแล้วกัน"
"สิ้นคิดนะมึง" ป้องพูดล้อด้วยคำขำขันก่อนจะเปิดประตูลงไปซื้อข้าว
ชายหนุ่มดันตัวเองลุกขึ้นด้วยความงังเงีย มือขว้านาฬิกาปลุกหัวเตียงขึ้นมาดู เข็มสั้นเกือบจะพ้นเลขสามไปแล้วจริงๆด้วย นี่มันจะสี่โมงแล้วต่างหาก ต้นมองไปที่โซฟาขาดๆในห้องเขา ท๊อปเองก็ไม่ได้นอนอยู่แล้ว จากเสียงฝักบัวที่ไหลอยู่ในห้องน้ำ ท๊อปคงจะเข้าไปอาบน้ำแล้ว ต้นหยิบนู่นหยิบนี่กินเล่นๆไปพลางๆ แก้หิว
"ตื่นแล้วเหรอต้น" ท๊อปออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำเล็กๆยังเกาะอยู่ตามเรือนร่างของชายหนุ่ม ผ้าขนหนูผืนเล็กพันแทบไม่รอบห่อหุ้มตัวท๊อป
"อืม...หิวแล้วยัง รอแปปนะไอ้ป้องมันลงไปซื้อข้าวอยู่"

อาหารสิ้นคิดสามกล่องถูกกินจนหมด อาหารมื้อแรกตั้งแต่พวกเขาออกมาจากขุมนรก แม้ว่ามันจะเป็นอาหารถูกๆ แต่รสชาติของมันดีกว่าอาหา ที่พวกนั้นให้กินตั้งเยอะ ถึงแม้ว่าหลังจากมื้อนี้ไปไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ยังไงก็ต้องให้อิ่มไว้ก่อน
"ตรู๊ด ตรู๊ด" เสียงมือถือของใครบางคนดังขึ้น ท๊อปรีบลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เบอร์ที่โชว์เป็นเบอร์แปลกที่ไม่คุ้นเลย เขากดรับสายๆนั้น
"สวัสดีครับ"
"สวัสดี ตื่นกันแล้วเหรอเด็กๆ" เสียงๆนี้ท๊อปยังจำมันได้ เสียงของคนที่พวกเขาต้องกลัว
"ครับ" ท๊อปตอบเสียงสั่นๆ
"พี่จะโทรมาบอกว่า เตรียมตัวไว้นะ สักหกโมงเดี๋ยวจะให้รถไปรับ พวกเราจะได้มาคุยธุรกิจกัน"
"ครับ" ท๊อปรับปากชายคนนั้น ก่อนที่จะกดวางสายลง
"ใครว่ะ" ป้องถามท๊อป แม้จะพอเดาได้ว่า คนโทรเข้ามาน่าจะเป็นใคร
"คุณโชค"
"แล้วว่าไงบ้าง" ต้นถามท๊อป
"เขาบอกว่าให้เตรียมตัวไว้ หกโมงจะให้รถมารับ"
"ไม่ปล่อยให้พวกเราพักกันหน่อยเลยเหรอว่ะ" ชายหนุ่มหุ่นล่ำสบถออกมา
รถตู้คาราเวลอย่างดีมารอรับทั้งสามตรงเวลา ทั้งรถมีเพียงคนขับรถแก่ๆเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ทั้งสามคนคิดว่าน่าจะยกกันมาหลายคน รถขับฝ่ารถติดเข้าสู่ถนนที่จอแจที่สุดเส้นนึงของกรุงเทพฯ คนขับเลี้ยวแยกเข้าซอยๆนึง ซอยนี้แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่กลับเป็นซอยที่เงียบสงบ มีแต่บ้านผู้ดีเก่าหลังใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีรถผ่านไปผ่านมา รถตู้ขับเข้ามาจนเกือบสุดซอย บ้านหลังใหญ่ซ้ายมือ กำแพงสีขาวใหญ่ที่สูงมาก จนคนที่ผ่านไปผ่านมาไม่สามารถจะมองเข้าไปเห็นได้ว่าบ้านมีหน้าตายังไง
รถจอดอยู่ด้านหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ ชายรูปร่างกำยำเดินออกมาจากป้อมยามหน้าบ้าน พร้อมกับส่องไฟเข้ามาภายในรถ แล้วเดินกลับเข้าไปกดเปิดประตู ประตูเหล็กบานใหญ่เปิดอ้าออก บ้านสีขาวทรงยุโรปเผยโฉมให้เห็น เจ้าของบ้านคงเป็นคนที่รวยระดับเศรษฐี ตัวบ้านใหญ่กว่าที่กะจะข้างนอก สวนที่ถูกแต่งอย่างลงตัว น้ำพุขนาดใหญ่ที่พวยพุ่งอยู่หน้าบ้าน ทางเดินหินอ่อนทอดเข้าสู่ตัวบ้าน ทุกอย่างถูกออกแบบได้อย่างลงตัว
"สวัสดีครับ คุณโชครออยู่ด้านในแล้วครับ" ทันทีที่เราลงมาจากรถ ผู้ชายในชุดซาฟารีสี่ห้าคนมายืนรอเราอยู่ที่หน้าบ้าน สามหนุ่มเดินตามชายฉกรรณ์เข้าไปในตัวบ้าน ด้านในถูกแต่งอย่างหรูหรา ทุกอย่างถูกจัดเข้าชุดกันอย่างดี ทั้งหมดเดินตามบรรใดวนขึ้นมาชั้นบน ในที่สุดหนุ่มหล่อสามคนเข้ามานั่งอยู่บนโซฟารับแขกอย่างดีในห้องทำงานของเจ้าของบ้าน
"ยินดีต้อนรับ" ชายวัยกลางคนที่แม้จะมีริ้วรอยขึ้นตามใบหน้า ซึ่งแสดงถึงช่วงชีวิตที่เข้าใกล้เลขห้า แต่หุ่นที่ยังสมส่วนบ่งบอกถึงการดูแลตัวเองอย่างดี
"สวัสดีครับ" ทั้งสามหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ชายเจ้าของบ้าน ชายผู้เป็นทั้งเทวดาและมัจจุราช
ในคืนที่ชายหนุ่มผิวขาวจัดถูกจับขึงบนเตียงเหล็ก มีดโกนคมกริบถูกนำมาลูบไล้ใกล้ๆโคนของท่อนเอ็น เสียงขอร้องจากชายอีกคนหนึ่ง ที่ไม่แม้แต่จะเรียกร้องความเห็นใจจากหญิงแก่ได้ "โชค" ชายผู้อยู่ตรงหน้าเขาตรงนี้ ได้เข้าไปไกล่เกลี่ย และหยิบยื่นข้อเสมอของการตายทั้งเป็นให้กับสามหนุ่ม
"โชค" ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับหญิงไฮโซเพื่อแลกกับแท่งทวนแห่งความเป็นชายของท๊อป และทั้งสามคนต้องตอบแทนชายคนนี้ด้วย "งาน" ที่พวกเขาจะต้องทำ
"นอนกันพอแล้วยังครับ" คุณโชคถามชายหนุ่มสามคน พร้อมกับยิ้มให้
"ครับ" ทั้งสามคนตอบเจ้าของบ้านด้วยเสียงเบาๆ เพราะทั้งสามยังรู้สึกเกร็งๆกับบรรยากาศแบบนี้
"ดีครับเราจะได้มาคุยงานกันเลย" ชายเจ้าของบ้านเริ่มพูดเป็นการเป็นงาน ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่แฝงด้วยอำนาจ
"พี่จะให้พวกผมทำอะไร" ป้องเอ่ยปากถามตรงๆกับเจ้าของบ้าน เขาไม่ต้องการจะรออะไรอีกต่อไปแล้ว เขาอยากรีบๆรู้อยากรีบๆทำให้มันเสร็จ
"งานของพี่ไม่ยากหรอก และไม่ใช่งานอย่างที่พวกเธอคิดด้วย" หนุ่มใหญ่เว้นระยะ ยิ่งทำให้ชายทั้งสามคนงงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
"ผมไม่ใช่เกย์ ผมไม่ต้องการให้คุณมากปรนเปรอผมในเรื่องนี้ สิ่งที่ผมต้องการจะให้พวกคุณทำคือ...พวกคุณต้องไปหาผู้หญิงมาให้ผม" ทั้งสามยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณโชคพูด เพราะคนอย่างคุณโชคจะหาผู้หญิงมาเล่นสนุกมันไม่ใช่เรื่องอยากเลย แต่ทำไมต้องให้หาให้
แต่สิ่งที่คุณโชคพูดต่อทำให้ชายหนุ่มทั้งสามถึงกับชะงักกับงานที่จะต้องทำ สิ่งที่คุณโชคอธิบายต่อคือ คุณโชคเป็นคนส่งผู้หญิงขายต่างประเทศ หรือ พูดง่ายๆคือเอเย่นต์ขายเนื้อสด สิ่งที่ต้องการให้ชายหนุ่มทำคือไปหลอกผู้หญิงหน้าตาดีไปขายเมืองนอก ชายหนุ่มทั้งสามถึงกับอึ้งมนสิ่งที่ต้องทำ มันแย่เกินกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ ถ้าลำพังตัวเขามาปรนเปรอใครต่อใครเขายังพอรับได้ แต่จะให้มาหลอกคนอื่น มันรู้สึกยาเกินไปที่จะทำ คุณโชคเองก็ดูเหมือนจะสังเกตุเห็นถึงท่าทางลังเลใจของทั้งสามคน
"ผมให้เวลาพวกคุณสามวันหาผู้หญิงให้ผมให้ได้ห้าคน เพราะอาทิตย์หน้าผมต้องส่งออเดอร์แล้ว ถ้าไม่ได้ ผมจะส่งพวกคุณไปแทน" หลังจากคุณโชคทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ ก็ให้คนขับรถคนเดิมพาทั้งสามกลับไปส่งที่เดิม ตลอดทางทั้งสามคนนั่งครุ่นคิดถึง "งาน" ที่พวกเขาต้องทำ
มีคนชอบพูดกันว่าเมื่อคนจนตรอกจะทำได้ทุกอย่างแม้แต่สิ่งที่ขัดกับความรู้สึกชั่วดีของตัวเอง ตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะจริงรึเปล่า ข้างในลึกๆผมไม่อยากจะทำสิ่งที่มันขัดต่อความคิดดีๆของผม ผมไม่อยากจะลากใครมาอยู่ในวงจรอุบาทว์แบบผม แต่ถ้าผมไม่ทำเฉพาะผมเท่านั้นที่จะหนีมันไม่ได้ เพื่อนผมอีกสองคนก็จะต้องอยู่ในวงจรนี้เหมือนกัน ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่เค้าสองคนต้องมารับเลย มันเป็นเพราะผมแท้ๆ

ผมนั่งมองต้นกับป้องที่ตอนนี้คงหลับสนิทไปแล้ว หลังจากที่พวกเราเหนื่อยกันมามาก แต่ผมเองยังคงนอนไม่หลับ ผมควรจะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดี ผมนั่งเมืองหลวงด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก่อนที่พระอาทิตย์ยามเช้าจะสาดแสงเข้ามากระทบปลุกให้คนในเมืองใหญ่แห่งนี้ตื่นขึ้นมาต่อสู้ชีวิตกันต่อไป
“มึงไม่นอนเลยเหรอว่ะ” มือหนาแข็งแรงจับที่ไหล่ของผม
“อืมม นอนไม่หลับ” ผมตอบป้องด้วยเสียงเหนื่อยๆ
“กรูก็เหมือนกัน พยายามนอนแต่ก็นอนไม่หลับ เห็นมึงนั่งอยู่ทั้งคืนไม่ยอมนอน”
“แล้วจะเอายังไงกัน” ผมถามป้อง
“กรูก็ยังไม่รู้เลยว่ะ กรูไม่อยากทำนะ แต่มันไม่มีทางอื่นให้เลือก นอกจากยอมเป็นคนถูกเลือกซะเอง”
“หมายความว่าป้องจะไม่ทำตามคำสั่งคุณโชคเหรอ” ผมหันมองหน้าป้องอยากรู้ในความหมายของมัน
“ใช่ ทำไม่ลงหว่ะ เดี๋ยวรอต้นตื่นแล้วคุยกันอีกที แต่กรูก็คิดว่าต้นคงเห็นด้วยเหมือนกัน”
ป้องทิ้งให้ผมนั่งอยู่ริมระเบียงคนเดียว ก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำ ลึกๆผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ป้องตัดสินใจเหมือนกัน

เราสามคนกลับมานั่งคุยกันอีกครั้งหลังจากที่ต้นตื่น ต้นเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเรา
“งั้นพวกเราจะได้แต่รอเวลาเหรอ” ต้นพูดกึ่งหัวเราะหลังจากที่เราตัดสินใจ
“ก็คงอย่างนั้น” ผมตอนด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้ม
“ไม่กรูจะไม่รอให้พวกนั้นมาลากเราไปขายหรอก” ป้องพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“แล้วจะทำยังไงป้อง” ต้องมองหน้าป้อง อย่างคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกนั้นก็รู้ชื่อจริง นามสกุลจริง ที่อยู่ มหาลัยของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าเกิดจะตามจริงมันไม่ใช่เรื่องยากเลย
“หนีไง ดีกว่ารอให้พวกบ้านั่นมาจับ วันนี้กรูจะไปทำเรื่องดร๊อปที่มหาลัย แล้วเราจะหนีกันไปไหนสักที่ รอสักสองสามเดือนแล้วค่อยกลับมา”

เรื่องเรียน...ผมยังอยากเรียนต่อ อยากได้ปริญญา แต่ตอนนี้ผมคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่ป้องว่า เรียนจบช้าไปสักปีคงไม่เป็นไร พวกเรารีบแยกย้ายกันไปทำเรื่องดร๊อปที่มหาลัย ผมรีบเรียกแท๊กซี่ไปบ้านเปลี่ยนชุดนักศึกษา ก่อนจะบอกแม่ว่าจะไปออกงานภาคสนามอาจจะไม่ค่อยได้กลับบ้าน มืทำหน้างงๆ แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรผมก็รีบออกจากบ้านไปมหาลัยอย่างเร็วที่สุด ผมรีบทำเรื่องดร๊อปที่มหาลัย แล้วต้องรีบไปหมอชิตตอนเย็น เพราะพวกเราจะหนีไปอยู่เหนือกันสักพัก

ผมออกจากมหาลัยรีบเรียกแท๊กซี่ไปหมอชิต แต่ก่อนที่ผมจะได้เริ่มหนี ความฝันของผมก็สลายลง รถตู้ติดฟิมล์ทึบคันใหญ่เข้ามาที่จอดอยู่ริมฟุตบาทขับเข้ามาใกล้ผม พร้อมกับมีผู้ชายอีกสองคนไม่รู้มาจากไหนเข้ามาประชิดผมด้านหลัง และมีอะไรแข็งๆมาสัมผัสผมที่ได้หลัง แม้ไม่ได้หันไปมองผมก็รู้ได้ว่ามันคือ “ปืน”

ผมถูกบังคับให้ขึ้นมาในรถคันนั้น ก่อนที่มันจะขับออกไป ในรถไม่ได้มีผมคนเดียว ป้องกับต้นก็โดนจับมาด้วย หน้าป้องมีรอยช้ำ บ่งบอกได้ว่าคงมีการใช้กำลัง พวกเรานั่งเงียบกันอยู่ในรถ พวกผู้ชายที่จับเรามาทุกคนก็นั่งเงียบไม่พูดอะไรกับพวกเราสักคำ
รถตู้เลี้ยวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่คุ้นตา “บ้านแก๊งค์ค้ามนุษย์” ผมเริ่มหน้าซีด ทำไมพวกนี้ถึงรู้ได้ว่าเราจะหนีทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา ทำไม....

พวกเราถูกพาเข้ามาในบ้าน ในห้องๆเดิมที่คุณโชคนั่งรอเราอยู่แล้ว
“คราวนี่พวกคุณกลับมาไม่สวยเลยนะ” คุณโชคพวกทักพวกเรา เราทุกคนเงียบ ไม่มีคำพูดใดๆที่จะพูดออกมาได้
“พวกคุณปฏิเสธข้อเสนอดีๆของผม และยังคิดจะหนีอีก คุณคิดว่าผมควรจะทำยังไงกับพวกคุณดี” คุณโชคลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ หยิบปืนสั้นจากลูกน้องเดินเข้ามาหาพวกเรา ผู้ชายคนนี้น่ากลัวจริงๆ ไม่มีที่ท่าโกรธ แต่สัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมที่มันอยู่ข้างใน
คุณโชคเดินเข้าไปหาป้องก่อนจะยกปืนเล็งที่หัวป้อง ผมรีบส่ายหน้าหนีของจะเห็นภาพนั้น “ผมไม่เก็บพวกคุณหรอก เพราะพวกคุณมีค่ากว่าที่ที่ผมจะใช้ลูกปืนผมให้เปลือง” คุณโคพูดพร้อมโยนปืนกลับไปให้ลูกน้อง
“ผมคิดว่าพวกคุณคงจำได้นะ ถ้าพวกคุณไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น...” คุณโชคพวกเว้นวรรค ในขณะที่พวกเรายังนั่งเงียบอยู่กับที่ “ผมจะส่งพวกคุณไปทำงาน” คุณโชคพวกจบก็เดินออกไป

พวกเรายังอยู่ในสภาพเดิม หมดอาลัยในชีวิต แผนทางรอดเดียวของพวกเราล้มเหลว เรายังไม่รู้อะไรในอนาคต หวังแค่ว่ามันคงจะไม่ร้ายกว่าที่เราเคยเจอมาก็พอ
ผู้ชายลูกน้องคุณโชคเดินเข้ามาล้อมพวกเรา “เสียใจด้วยนะที่พวกมึงเลือกทางนี้เอง” ก่อนที่พวกเราจะได้เห็น ได้รู้อะไรต่อ ผ้าดำถูกเอามาปิดตาพวกเราไว้ ข้อมือของพวกเราถูกมัดไขว่หลัง ข้อเท้าถูกล่ามด้วยโซ่ และถูกลากไปขึ้นรถ

ผมไม่รู้ว่าผมกำลังจะถูกพาไปไหน แต่หลังจากที่รถหยุดผมถูกพาลงมายังที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกบังคับให้นอนลงไปในอะไรสักอย่าง มันเหมือนกล่องอะไรสักสักอย่าง ผมไม่สามารถที่จะมองเห็นมันได้ ผมไม่รู้ว่าต้นกับป้องยังอยู่ใกล้ๆผมรึเปล่า หรือถูกพาไปที่ไหน ผมยังคงนอนอยู่ในนั้น
ผมไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงที่ผมนอนอยู่ในกล่องขนาดใหญ่ ผมรู้สึกได้ว่าผมกำลังจะถูกพาไปที่ไหนสักที่ ตอนแรกผมนึกว่าจะถูกส่งไปต่างประเทศ แต่ความรู้สึกมันไม่ใช่ มันไม่ใช่เครื่องบิน มันเหมือนอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นรถ เป็นเรือ ผมไม่รู้ถึงจุดหมาย สองคนนั้นก็ไม่รู้ว่าไปด้วยกันรึเปล่า ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมกลัวกว่าเมื่อ เพราะตอนนั้นผมยังรู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน จะโดนอะไร แต่ตอนนี้ผมไม่รู้เลย

เวลาผ่านไปนานพอสมควร คงหลายชั่วโมงอยู่ เสียงกุกกักปลุกผมตื่นจากภวังค์ ผมรู้สึกได้ถึงฝสที่กำลังเปิดออก สักพักก็มีมือดึงผมให้ลุกขึ้น พร้อมกับพูดภาษาที่ผมก็ไม่อาจเข้าใจได้ ได้ได้แต่ลุกขึ้นแล้วเดินตามที่คนๆนั้นจูงไป ในที่สุดผมก็มาหยุดอยู่ที่ๆนึง ผ้าปิดตาผมถูกดึงออกไป ตอนนี้ผมเห็นทุกอย่างแล้วผมกำลังอยู่ในห้องเล็กๆห้องนึง ป้องอยู่ในห้องนั้น แต่ผมยังไม่เห็นท๊อป ผมถูกพามานั่งข้างๆป้อง ในห้องนั้นไม่ได้มีแต่พวกเราสองคน ยังมีหนุ่มวัยรุ่นวัยใกล้ๆพวกเราอยู่อีกเป็นสิบคน ผมได้ยินพวกนั้นพูดกันด้วยภาษาอื่น ผมมั่นใจว่าต้องไม่ใช่คนไทยแน่ๆ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ไหนอยู่ประเทศไหน ผมกับป้องนั่งมองหน้ากันโดนไม่พูดอะไร ผมเคยคิดว่าเราน่าจะหนีพวกมันพ้น แต่ผมคิดง่ายไป ไม่คิดว่าพวกมันจะส่งคนตามดูพวกเรา

สักพักก็มีผู้ชายอีกสองคนถูกพาตัวเข้ามา และสุดท้ายท๊อปถูกพาตัวเข้ามาในห้อง ท๊อปถูกพามานั่งข้างๆพวกเรา ผู้ชายคนนึงเดินตามเข้ามาหลังท๊อป ดูน่าจะเป็นคนอินเดีย มีอายุพแสมควร เดินเข้ามาแล้วเริ่มพูดกับพวกเราด้วยภาษาอังกฤษแบบแปร่งๆ ผู้ชายคนนั้นบอกพวกเราว่าต่อจากนี้พวกเราจะกลายเป็นทาส ให้ทำตัวดี ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหา ก่อนที่จะหันไปพูดกับลูกน้องที่น่าจะเป็นคนชาติเดียวกันในภาษาที่ผมไม่เข้าใจ ผู้ชายคนนั้นเดินเปิดประตูเชื่อมเข้าไปอีกห้อง ในขณะเดียวพวกลูกน้องก็ค่อยทยอยลากชายหนุ่มทร่อยู่ในห้องตามเข้าไปทีละคน คนเริ่มน้อยไปทีละคนๆ ผมสังเกตุดูแล้วทุกคนล้วนเป็นหนุ่มเอเชีย ผมว่าบางคนเป็นจีน แต่บางคนผมก็ไม่รู้ว่าเป็นชาติอะไร

“ตามมานี่” แขกรูปร่างสูงใหญ่คนนึงเดินเข้ามาที่ผมแล้วลากตัวผมขึ้นให้เดินตามเข้าไปในห้องนั้น ในห้องนั้นไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากห้องแรก สภาพห้องคล้ายๆกันเพียงแต่ตรงนั้นดูเหมือนมีเครื่องมือหลายอย่างตั้งอยู่ในห้อง และมีแขกตัวดำอยู่อีกสามสี่คน โดนมีคนแขกหัวหน้านั่งดูอยู่บนเก้าอี้ คนนึงเดินเข้ามาล๊อกด้านหลังผมในสภาพที่ยังถูกล๊อกทั้งมือและเท้า ก่อนที่อีกคนจะถือกรรไกรเข้ามาแล้วตัดเสื้อของผมให้ขายออกจากกันก่อนเพื่อเผยเรือนร่างของผม ก่อนจะมัดรอบอกและรอบเองของผม จากนั้นกางเกงยีนเดฟของผมก็ถูกตัดออก ตามด้วยบ๊อกเซอร์ ผมยืนอยู่ในสภาพเปลือนเปล่าที่ถูกมัดที่ขาและข้อมือ ก่อนที่พวกนั้นจะมาวัดสัดส่วนของผมต่อ เมื่อมันวัดกันเสร็จแล้ว พวกมันเดินถือเข็มฉีดยา พร้อมจับผมล๊อกไว้ก่อนจะฉีดยาเข้าไปที่เส้นเลือดที่แขนผม ผมรู้ดีว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมยอมที่จะยืนให้ฉีดโดยไม่ขยับตัวหนีไปไหน ผมรู้สึกทั้งหน้าทั้งตัวผมร้อนผ่าวไปหมด แปปเดียวอารมณ์ผมพุ่งพล่านอยากบอกไม่ถูก น้องชายผมขยายตัวแข็งเป็นแท่งชี้ใส่พวกมัน แขกคนนึงเดินเข้ามาจัดการเอาสายวัดมาวัดขนาดน้องชายผมก่อนที่จะถอดโช่ตรวนที่ขาผมออก ผมรู้ดีว่าถึงวิ่งหนีตอนนี้ยังไงก็หนีไม่พ้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือก้มหน้ายอมรับมันไป คนที่ดูเหมือนใหญ่สุดหันไปพูดกันลูกน้องสองสามคำก่อนที่พวกนั้นจะเดินมาพาผมออกไป

ทันทีที่ได้ออกมาข้างนอกผมรู้แล้วว่าที่นี่ที่ไหน ตอนนี้ผมอยู่บนเรือรอบตัวผมมีแต่น้ำ ไม่มีด้านไหนเลยที่จะเห็นเป็นแผ่นดิน ผมถูกพาเดินไปตามทางเดินไปยังอีกห้องนึง พวกมันบอกผมว่าให้อาบน้ำสระผมให้สะอาด พวกมันแก้มัดให้ผม ก่อนที่จะให้ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนบอกว่าให้เวลาผมเพียง 10 นาที ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ มันเป็นน้ำรวมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ในนั้นคนที่ถูกพาออกมาก่อนผมกำลังรีบอาบน้ำกัน ทุกคนมีสีหน้าเหมือนกันคือสีหน้าดูตื่นกลัว ผมสังเกตุดูทุกล้วนอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมคิดว่าอายุช่วงนี้เป็นช่วงที่ดูดีที่สุด กำลังเติบโตถึงขีดสุด กล้ามเนื้อเห็นได้ชัด พลังงานอันมหาศาล ผมไม่แปลกใจที่คนรุ่นนี้จะถูกจับมาในวงจรอุบาทว์แบบนี้ ทุกคนรีบอาบน้ำกัน ขณะที่ดุ้นเอ็นของทุกคนก็เหมือนผมคือแข็งตัวเต็มทึ่ ผมว่ายานั่นทำให้ผมแข็งยิ่งกว่าเวลาตอนปกติอีก ผมเองก็ไม่รอช้ารีบไปหยิบสบู่มาถูตัว สักพักป้องกับท๊อปก็เดินตามเข้ามาในห้องอาบน้ำ ทั้งสองคนก็มีอาการไม่ต่างจากผม

คนที่เสร็จแล้วค่อยทยอยกันออกจากห้อง ผมเสร็จก็ออกไปก่อนป้องกับท๊อป พวกแขกยื่นผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆให้ผมเช็ดหน้าเช็ดตัวก่อนจะพาผมเดินไปอีกห้อง ที่อีกห้องมันเหมือนกับเป็นซาลอนขนาดย่อมๆ มีช่างตัดผมเซ็ทผม ผมสังเกตุดูว่ามีบางคนถูกตัดแต่งผมเปลี่ยนลุค มีคนนึงผมว่าน่าจะเป็นคนจีน ถูกเปลี่ยนจากผมรองทรงธรรมดากลายเป็นสกินเฮด ผมถูกพาไปนั่งรอบนเก้าอี้ พอถึงคิวผม ผมไม่ถูกเปลี่ยนสไตล์เพียงแต่เซ็ทให้มันเข้ารูปเท่านั้น จากนั้นผมถูกพาไปอีกฝั่งนึงของเรือซึ่งผมคิดว่าที่นั่นคงจะเป็นที่สุดท้าย

เรือลำนี้ถ้าจะเรียกจริงๆผมว่าคงเป็นเรือสำราญขนาดย่อมๆ หรือไม่ก็เรือเฟอรรี่ขนาดเล็กได้เลย เพราะมันใหญ่และดูดีกว่าเรือทั่วๆไป อีกด้านนึงของเรือมันเป็นห้องขนาดใหญ่ ตกแต่งไว้อย่างดี มีพวกแขกและฝรั่งอยู่สองสามคนแต่งตัวด้วยชุดสูทอย่างดี ยืนจัดการงานอยู่ตรงนั้น ทันทีที่ผมเข้ามาผมก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเจอมันคืออะไร เพราะคนที่ถูกพามาก่อนหน้าแสดงให้ผมเห็นอยู่แล้ว ทุกคนถูกจับล๊อกไว้กับเสาที่มีเรียงรายอยู่ในห้อง ผมเองก็ถูกพามาที่เสาต้นนึง แขนผมถูกดึงเหยีบดขึ้นข้างบน แล้วจับล๊อกไว้บาร์ที่อยู่ด้านบน ส่วนคอผมถูกล่ามติดไว้กับเสา ส่วนขาก็ถูกตรวนล๊อกติดเอาไว้กับเสาเช่นกัน และสุดท้ายกรงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกเอามาสวมล๊อกน้องชายของผมที่แข็งตัวเต็มที่เอาไว้ ผมยีนรออยู่ในท่านั้น ผมรู้สึกได้ว่าความอดสูในตัวเองมันเป็นยังไง คนอื่นๆที่มาทีหลังรวมถึงป้องกับท๊อปก็ล้วนโดนแบบเดียวกัน
นสภาพนี้ถามว่าผมรู้สึกแย่มั๊ย มันก็แน่นอนครับคงไม่มีใครรู้สึกดีกับสภาพที่ถูกจับเอามาเพื่อรอขายออกไปเหมือนสินค้าชิ้นนึง เหมือนชีวิตของผมมันไม่มีค่า แต่ถ้าถามต่อว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟาย สติระเบืดมั๊ย ผมก็คงจะตอบว่าไม่ หัวใจผมมันคงชินชากับอะไรๆแบบนี้แล้ว ตั้งแต่บ้านผมล้มละลายผมก็กลายเป็นเหมือนสินค้า หรือตุ๊กตาที่ใครๆอยากทำอะไรกับผมก็ได้อยู่แล้ว แม้แต่ความรักผมก็ไม่เคยสัมผัส ไม่สิผมเคยมีความรัก ผมเคยรักผู้หญิงคนนึงตอนเรียนอยู่ปีหนึ่ง แค่ผมไปดูหนังกับเธอแค่ครั้งเดียว ลูกน้องของคุณปราณีที่ให้คอยคุมผมไปรายงานคุณปราณี ผมถูกลงโทษเกือบตายจนผมไม่กล้าที่จะไปรักใครอีก เพื่อนผมก็ไม่ค่อยมีเพราะทุกวันเรียนเสร็จคนที่คุมผมก็จะพาผมกลับบ้าน ผมไม่เคยที่จะได้ไปดูหนัง ไปกินข้าวกับเพื่อนเหมือนที่คนอื่นเค้าทำกัน ชีวิตแบบนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าควรจะเรียกว่า “มนุษย์” อีกรึเปล่า แต่สิ่งที่ผมรู้สึกผิดและแย่กับมันมากคือการที่เพื่อนของผมต้องมาโดนอะไรแย่ๆแบบผม ถ้าไม่มีผมทั้งสองคนคงกลับไปใช้ชีวิตตามปกติที่เคยใช้กัน ไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาชื่นชมกับความขมขื่นของผม
คนเริ่มทยอยกันมายืนหน้าห้องกระจก แต่ละคนแต่งตัวดูดี ดูภูมิฐานกันทุกคน มีทั้งฝรั่ง ทั้งแขก ทั้งเอเชีย ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง แต่ที่รู้ผมว่าพวกเขากำลังเลือกชมสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อกันมากกว่า สักพักก็จะพวกแขกที่คุมพวกเราก็จะเริ่มปลดบางคนลงสากโซ้ที่ล๊อคพวกเราเอาไว้ ผมไม่คิดหรอกว่าใครจะเป็นคน “ซื้อ” ผมไป ก็อย่างที่ผมบอกความเป็นมนุษย์ของผมถูก “ขาย” ไปนานแล้ว ผมหันหน้าไปดูทางต้นและป้อง ต้นถูกปลดลงไปก่อน แม้ก่อนที่ต้นจะถูกพาออกไปจากห้อง ต้นยังหันมามองหน้าผมพยักหน้าให้ผมเหมือนบอกว่าผมต้องสู้ต่อไป และก็อีกไม่นานหลังจากต้นออกไปพวกมันก็เข้ามาปลดล๊อคผมออกจากตรวนที่ติดไว้ ทันทีที่ออกจากห้องพวกนั้นเอาผ้าดำมาปิดตาผมไว้ ผมมองไม่เห็นว่าพวกนั้นกำลังจะพาผมไปไหนหรือกำลังจะทำอะไรกับผม ผมรู้แค่พวกนั้นถอดโซ่ถอดอะไรให้ผม รวมทั้งกรงเหล็กที่จู๋ของผมก็ถอดออกไป ตอนนี้ผมรู้สึกแค่มีกุญแจมือมาล๊อคมือผมไว้ข้างหน้าก่อนที่พวกนั้นจะบังคับให้ผมนอนลงกล่องหรืออะไรสักอย่าง แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าผมกำลังจะต้องเดินทางไปที่ใดที่หนึ่งแน่ๆ
ผมยังคงมองอะไรไม่เห็น มือก็ถูกล๊อก ได้แต่นอนอยู่ในกล่องแคบๆ จริงๆสภาพแบบนี้ผมก็เคยเป็นมา ครั้งนึงที่คุณปราณีจัดปาร์ตี้ผมต้องลงไปนอนอยู่ในโลงแก้วที่ตั้งไว้กลางลายบุฟเฟต์ ผมทำอะไรไม่ได้หลายชั่วโมง นอกจากนอนอยู่ในโลงในสภาพเปลือยปล่าว

ผมเริ่มได้ยินเสียงคนยืนคุยอยู่ใกล้ๆกล่องที่ผมนอนอยุ่ ผมไม่รู้หรอกว่านั่นมันเปนภาษาอะไร แต่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษแน่ๆ ฝากล่องเหมือนถูกเลื่อนออก เสียงคนยังยืนพูดกันอยู่เหนือกล่องผม สักพักมือใหญ่ๆหยาบๆค่อยสัมผัสบนหน้าอกของผมไล่ไปที่หน้าท้องอย่างพินิจพิจารณา มือนั้นไล่ไปถึงจู่ผมก่อนที่จะไล่ไปตามขอของผม มือนั้นเหมือนไล่พินิจไปทั่วร่างกายของผม พวกนั้นพูดกันไปมือลูบไปตามตัวผมไป หนึ่งในสองสามคนพูดภาษาอังกฤษกับผม เขาบอกให้ผมนอนเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวเขาจะยกตัวผมขึ้น ผมพยักหน้าตอบแม้ว่าผมจะไม่เห็นหน้าเขาก็ตาม มือของสองสามคนช่วยกันอุ้มผมขึ้นจากกล่องไปนอนบนเตียง เสียงนั้นบอกให้ผมนอนเฉยๆไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ผมนอนๆสักพักผมก็หลับไปบนเตียงๆนั้น


ทันทีที่ท๊อปหลับชายผมทองดึงหน้ากากรมควันออกจากหน้าท๊อป จากนี้ไปงานของเขาเรื่องขึ้นแล้ว เขากับฝรั่งหุ่นล่ำใหญ่อีกสองคนเริ่มลงมือปฎิบัติงานของเขา ด้านนอกฝรั่งวัยน่าจะเลยห้าสิบ นั่งจิบกาแฟมองของเล่นชิ้นใหม่ของเขา ฝรั่งทั้งสามคนในห้องค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำทำความสะอาดตัวของท๊อปตั้งแต่ใบหน้าจนถึงปลายเท้า มืดโกนถูกหยิบออกมาค่อยจัดการกำจัดขนตามเรือนร่างของท๊อปอย่างปราณีตตามคำสั่ง พวกนั้นแอบเสียดายในความสวยของขนที่ขึ้นตามเรือนร่างของท๊อป เพราะท๊อปเป็นคนที่ผิวขาวจัด ขนที่ดำสนิทและมีไม่มากเกินไปตัดกับสีผิวทำให้ดูเซ็กซี่น่าลิ้มลอง แต่เจ้าของใหม่ของท๊อปไม่ปรารถนาให้มีคนใดๆขึ้นตาตัวของท๊อป ขนจากรักแร้ที่ดำสนิทตัดขาวกับผิวขาวใสค่อยๆถูกกำจัดออกไป ตามมาด้วยขนที่หัวเหน่า แม้ตามขาก็ถูกโกนออกจนหมดก่อนที่น้ำยาสูตรพิเศษจะถูกชโลมทั่วตัวท๊อปและทิ้งไว้ให้เกิดปฎิกริยาเพื่อต่อจากนี้ขนสวยๆของท๊อปจะไม่มีขึ้นมาอีก ฝรั่งสามคนมองหน้ากันเพื่อเริ่มงานที่จะจะเป็นงานจริงๆของพวกเขา
หนุ่มใหญ่ได้แต่นั่งและมองเข้าไปรอผลการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ไม่กี่ชั่วโมงของการรอคอยได้สิ้นสุดลง ฝรั่งผมทองหนึ่งในสามเดินออกมาพบชายที่นั่งรออยู่ด้านนอก
“เรียบร้อย ปลอดภัยดีครับท่าน” ฝรั่งผมทองรายงานให้กับหนุ่มใหญ่ฟัง
“ดีมาก แล้วได้ทำอย่างตามแผนที่ตั้งไว้รึเปล่า” ฝรั่งหนุ่มใหญ่ถามกลับมือยังถือถ้วยกาแฟอยู่ในมือ
“ครับ เชิญท่านเข้าไปดูได้ครับ” หนุ่มใหญ่วางแก้วกาแฟก่อนจะเดินตามฝรั่งผมทองเข้าไปในห้องกระจก
หนุ่มใหญ่ยืนดูท๊อปอย่างพอใจ ขนที่เคยสร้างความเซ็กซี่ให้ท๊อปบัดนี้ถูกกำจัดเกลี้ยงไปหมด เหมือนเด็กเล็กๆที่ขนยังไม่ขึ้น ฝรั่งสูงวัยใช้นิ้วสัมผัสเบาๆกับน้องชายของท๊อปที่บัดนี้มันได้ผ่านการศัลยกรรมออกมาเป็นที่เรียบร้อย แม้ดูภาพนอกอะไรๆอะมันยังเหมือนเดิมแต่ความเป็นจริงด้านในและอัณฑะของท๊อปถูกใส่เครื่องมือศัลยกรรมเข้าไปเป็นที่เรียบร้อยตามที่ชายสูงวัยต้องการ เพราะต่อจากนี้เขาจะสามารถควบคุมการมีเซ็กของท๊อปได้ โดยคลื่นไฟฟ้าแลพกลไกข้างในจะสามารถควบคุมการแข็งตัวและการหลั่งของท๊อปได้ เขาต้องการให้ต่อจากนี้ไปควยของท๊อปจะใช้ไว้ปล่อยของเสียกับน้ำกามเท่านั้น มันจะไม่สามารถแข็งตัวไปทำอะไรกับใครได้อีกต่อไป อีกส่วนที่ชายลูกวัยพอใจกับของเล่นใหม่ชิ้นนี้คือถ้ำของท๊อปซึ่งต่อจากนี้ไปมันจะไม่สามารถปิดสนิทได้อีกต่อไป มันจะเปิดรอการต้อนรับตลอดเวลา


“แล้วนานเท่าไหร่ถึงจะเอามันไปใช้ได้” ชายสูงวัยถามฝรั่งผมทอง
“ประมาณสักอาทิตย์กว่าก็ได้แล้วครับท่าน”
“ดี...งั้นพามันไปดูแลอย่างดีแล้วกัน” หลังจากพูดจบ ฝรั่งสามคนก็เข็นท๊อปไปไว้ในห้องพักฟื้น ชายสูงวัยมองดูท๊อปด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่าน แม้เพียงอาทิตย์กว่าเขาก็ไม่อยากจะรอที่จะได้เล่นกับของเล่นชิ้นใหม่ของเขา หลังจากเมื่อสองปีที่แล้วเขาได้หนุ่มจีนฮ่อมาเป็นสมบัติของเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

เด็กหอ 8 CP

มื่อกานต์เก็บของจากห้องตัวเองเสร็จ จึงมาหาอาจารย์ภัทรที่ห้อง ส่วนภัทรอาบน้ำทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อย ควยของภัทรแข็งรอกานต์อยู่นานแล้ว &...