รุ่งสาง ซู่เหวินตื่นจากหลับไหล คราบน้ำตาแห้งเหือด ไม่ต่างจากน้ำรักของหลี่เฉินที่เกอะกังอยู่ในเครื่องเพศของพระชายาที่ขณะนี้ยังคงหลับสนิทอยู่
บานประตูถูกเปิดออก กลุ่มชาย 3 คนเดินตรงเข้ามาจับพระมเหสีลุกขึ้น ทำให้นางตกใจตื่นในสภาพเปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิดเรือนร่าง ขณะที่ซู่เหวินพยายามดิ้นให้หลุดจากเครื่องพันธนาการแต่ไร้ผล ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ผ่านผ้าอุดปาก
“พวกเจ้าเป็นใคร เข้ามาห้องแม่ทัพเช่นนี้ได้อย่างไร” พระมเหสีโวยวาย ก่อนจะเหลือบไปเห็นพระสวามีที่มัดอยู่ในสภาพไร้การปกปิดเช่นเดียวกับตน
“หากไม่อยากเห็นผัวของเจ้าถูกเชือดคอต่อหน้าก็จงหุบปากไปซะ” หลี่เฉินกล่าวพร้อมเดินเข้ามาอย่างใจเย็น
“หลี่เฉิน นี่จะ....เจ้า!” พระมเหสีกำลังจะด่าทอแต่ก็หยุดไปเมื่อนึกถึงคำขู่ของชายตรงหน้า
“ดีมากพระมเหสี เมียรักของข้า เชื่อฟังข้าแบบนี้แล้วเจ้าจะไม่เดือดร้อน” หลี่เฉินกล่าว
พระมเหสีประติดประต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อคืนจึงถูกปิดตาร่วมรัก ครั้นความอายก็บังเกิดแก่หญิงสาวที่กำลังนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืน เป็นนางเองที่ขึ้นโยกรับเครื่องเพศของฝ่ายศัตรูอย่างเมามัน คิดได้เช่นนี้ก็สิ้นแรงยืน ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“หากไม่อยากเห็นใครต้องมีอันเป็นไป ก็จงทำตามคำสั่งของข้าให้ดี” หลี่เฉินกล่าวกับซู่เหวินและชายาของเขา ก่อนที่ทั้งสองจะยอมจำนนโดยดีเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาจบชีวิตในสภาพเช่นนี้
“จับพวกมันมัดไว้ในห้องนี้ อย่าให้หลุดหนีไปไหนแล้ว ปิดปากพวกมันอย่าให้ส่งเสียงเด็ดขาด” หลี่เฉินประกาศ ก่อนที่ลูกน้องจะทำตามคำสั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
………………………………………………………………………………………………………………………………………....................
หน้าจวนแม่ทัพ
ขบวนเสด็จของซู่เรินเดินทางมาถึงเมืองต้าเหลียนแล้ว ประชาชนต่างดีใจในการมาของบุตรชายท่านแม่ทัพซู่ บุตรชายที่จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นแห่งนี้ต่อไปในภายภาคหน้า
หลี่เฉินเข้ามารับเสด็จพระโอรสด้วยตนเอง ก่อนจะนำพระโอรสไปพักผ่อนในเรือนรับรองภายในจวน ที่ซึ่งทั้งพ่อและแม่ของพระโอรสถูกคุมขังอยู่อย่างอเนจอนาจ
“เสด็จพ่อและเสด็จแม่อยู่ที่ไหนรึ ท่านหลี่เฉิน” ซู่เรินกล่าวอย่างสุภาพ
“ท่านแม่ทัพและพระชายาคงกำลังเสด็จมาพะยะค่ะ องค์ชายเดินทางมาคงเหน็ดเหนื่อย ระหว่างนี้เชิญดื่มน้ำชารอก่อนดีไหมขอรับ” หลี่เฉินน้อมน้อมก่อนจะถวายถ้วยน้ำชาให้พระโอรส
ไม่นานหลังจากที่ดื่มชาเข้าไป พระโอรสก็เกิดง่วงอยากนอนขึ้นมา ก่อนจะหมดสติลงบนโต๊ะ ทิ้งถ้วยชาตกแตกบนพื้น หลี่เฉินยิ้มอย่างมีความสุขที่ซู่เรินหลงกลดื่มชาผสมว่านปลาไหลเผือก ที่มีสรรพคุณเสริมสร้างความกำหนัดและพละกำลัง ส่วนผสมที่ไหลเวียนอยู่ในร่างคุณหนูเริน คงกำลังออกฤทธิ์ในอีกไม่ช้า
...................................................................................................................................................................
ซุ่เรินลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสลัวแห่งหนึ่ง สายตาปรับการมองเห็นอยู่ชั่วครู่เดียว ก็เผยภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน ภาพท่านพ่อและท่านแม่เปลือยกาย ถูกเชือกจากเพดานมัดรวบมือ ชูแขนลอยขึ้นฟ้า ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันกับผู้ให้กำเนิด
“ฟื้นแล้วหรือ องค์ชาย? ข้าจะไม่พูดมาก หากไม่อยากให้สกุลซู่ต้องมีใครสิ้นลม ก็จงทำตามคำบอกของข้า บัดนี้แม่ทัพซู่ได้รับพิษแมงมุมร้าย ทางเดียวจะรักษาได้คือต้องหลั่งน้ำกำหนัดในยามวอกวันนี้เท่านั้น” หลี่เฉินพูดชัดได้ใจความ
“แต่พิษแมงมุมนั้นร้ายกาจมาก ยามหลั่งออกมาแล้วจะยังคงมีความเป็นพิษอย่างช่วงเวลาหนึ่ง วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือต้องให้แม่ทัพหลั่งน้ำออกมาโดยไม่สัมผัสกับแท่งชายและน้ำกำหนัด เพื่อรักษาชีวิตของพระองค์ไว้ เป็นหน้าที่ลูกอย่างเจ้าแล้ว” หลี่เฉินกล่าวต่อ
พระโอรสเข้าใจในสิ่งที่หลี่เฉินพูดทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าเขาจะทำอย่างไรให้บิดาหลั่งน้ำกามได้โดยไม่สัมผัสกับเครื่องเพศ ตั้งแต่เล็กเขาเองก็ช่วยตัวเองอยู่บ่อย ทุกครั้งต้องกำมือรูดสาวแท่งชายจึงจะปลดปล่อยน้ำกามออกมาได้ เห็นทีคงไร้ความหวังที่จะตอบแทนบุญคุณท่านพ่อเสียแล้ว
“ในกายของผู้ชายเรา มีจุดรวมปราณอยู่มากมาย ในบรรดาจุดรวมปราณทั้งหลายนั้น มีจุดหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปทางทวารหนัก ใกล้กับกระเพาะปัสสาวะ หากจุดนี้ถูกกระตุ้นจะหลั่งไหลน้ำกามออกมาได้เองโดยไม่ต้องแตะแม้แต่เนื้อตัว” หลี่เฉินพูดราวกับรู้ความคิดขององค์ชาย
ซู่เรินใช้เวลาคิดอยู่ไม่นาน ก็เข้าใจดีว่าในยามนี้ชีวิตของพระบิดาสำคัญที่สุด ต่อให้บุตรอย่างเขาต้องตายก็ยอม ลูกชายอย่างเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของผู้เป็นพ่อเอาไว้ แม้จะด้วยวิธีใดก็ตาม...
ตอนที่ 10 บทเรียน
หากมีตำแหน่งนายคุมทาสยอดเยี่ยม คงตกเป็นของหลี่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย--เจ้านายที่ไม่ได้บังคับให้ทาสทำในสิ่งที่นายต้องการ แต่ปล่อยให้ทาสเรียกร้องความเจ็บปวดนั้นด้วยตนเอง—เจ้านายที่ทำให้ทาสทรมานทั้งร่างกายจิตใจและเกิดความเสียวได้ในเวลาเดียวกัน
………………………………………………………………………………………………………………………………………….......................
ยามเช้า ณ ลานฝึกทหาร จวนแม่ทัพสกุลซู่
เหล่าทหารทุกนายในจวนถูกเรียกมาพร้อมหน้ากันในที่แห่งนี้ ตั้งแต่ทหารชั้นเลวไปจนถึงระดับนายกองใหญ่ นับหัวแล้วเกินหนึ่งหมื่นนาย ยืนเรียงรายรอรับคำสั่งจากท่านแม่ทัพ หลังจากที่หลี่เฉินเรียกระดมพล
หลี่เฉินเยื้องย่างออกมาจากแท่นสั่งการณ์เบื้องหน้าทหารทั้งหลาย ด้วยท่าทีองค์อาจน่าเกรงขาม สายตาจ้องมองทหารเบื้องล่างอย่างกระหยิ่มใจ ก่อนออกคำสั่งเสียงดังฟังชัด
“วันนี้แม่ทัพซู่จะสอนบทเรียนการเป็นชายชาติทหาร พร้อมทั้งสาธิตให้ดูเป็นบุญตาแก่พวกเจ้าทั้งหมาย”
เหล่าทหารต่างยินดีปรีดาเป็นอันมาก ทหารทุกคนต่างรู้ดีในฝีมือไม่ธรรมดาของท่านแม่ทัพ แต่น้อยครั้งที่ผู้นำอย่างท่านจะลงมาสอนพร้อมทั้งแสดงฝีมือให้ทหารทั้งหลายรับชม นับว่าครั้งนี้เป็นบุญยิ่งนัก ชาตินี้เกิดมาถึงว่าคุ้มค่าแล้ว
“เชิญท่านแม่ทัพซู่เหวินเข้าสู่แท่นบังลังค์” หลี่เฉินกล่าว พร้อมที่ม่านที่เปิดออก เผยให้เห็นซู่
เหวินที่อยู่ในชุดเกราะนักรบพระราชทานประจำตระกูล เป็นการแต่งฉลองพระองค์อย่างเต็มยศ ซึ่งปกติแล้วจะแต่งกายลักษณะนี้ในพิธีพิเศษ อย่างเข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือพิธีเฉลิมฉลองใหญ่เท่านั้น
มาบัดนี้ซู่เหวินดูงดงามเหลือเกิน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหลังจากโกนหนวดเคราออกไปจนสิ้น รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ปกคลุมด้วยชุดเกราะทองอร่ามตา พร้อมหมวกทรงสูงอันเป็นสมบัติประจำตัวของบุตรชายผู้สืบทอดบังลังค์ ถูกสวมใส่มานับตั้งแต่รุ่นทวด รุ่นตา รุ่นพ่อ จนตกทอดมาถึงเขา-ซู่เหวิน
“วันนี้ท่านไม่ทัพไม่ต้องการให้มีพิธีรีตองอะไรมาก ไร้ซึ่งชนชั้น เพื่อความเป็นกันเองของทุกคน” หลี่เฉินตะโกนบอกทหาร ขณะที่ซู่เหวินยังยืนก้มหน้านิ่งไม่พูดจา
“ตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านแม่ทัพต้องการให้พวกเจ้าเรียกท่านสั้นๆ เพียงว่า-ซู่เหวิน-เท่านั้น ไม่ต้องมีคำอวยยศนำหน้าชื่อใดๆ เพราะในการศึกสงครามทุกวินาทีมีค่ายิ่งนัก มัวมานับชื่อถือยศ เห็นที่จะไม่เหมาะสม” หลี่เฉินยังคงพูดต่อ
แม้จะยังไม่ชินเท่าไร แต่เมื่อเห็นท่านแม่ทัพไม่ได้คัดค้านคำประกาศของหลี่เฉิน เหล่าทหารก็เข้าใจว่าเป็นความต้องการของท่านซู่เหวิ...ไม่สิ ต่อแต่นี้ต้องเรียกสั้นๆ เพียงว่า ซู่เหวิน เท่านั้น
เมื่อเห็นทหารทั้งหลายเข้าใจดี หลี่เฉินจึงได้เริ่มบทเรียนที่ได้รับเกียรติการสอนโดยซู่เหวินทันที
“พวกเจ้าคิดว่ายามมีศึกสงคราม พวกเจ้ามีโอกาศที่จะปราชัยศัตรูหรือไม่” หลี่เฉินกล่าว
“มีขอรับ!!!” ทหารตอบพร้อมเพียงกัน
“พวกเจ้าคิดว่าหากพ่ายแพ้ให้กับศัตรูแล้ว ชะตาชีวิตของพวกเจ้าจะเป็นเช่นไร หากไม่ถูกเกณฑ์ไปเป็นเชลย ก็เป็นแรงงานทาสไร้คุณค่า จริงหรือไม่?” หลี่เฉินถาม
“จริงขอรับ!!!” ทหารทั่วลานตอบเสียงดังฟังชัด
“บทเรียนวันนี้ล่ำค่ายิ่งนัก แม้ทองทัพสกุลซู่จะชื่อเสียงเกรียงไกร แต่ซู่เหวินต้องการให้พวกเจ้าทนรับกับเหตุการณ์ความพ่ายแพ้ให้ได้ด้วยเช่นกัน ยามถูกจับเป็นเชลยศึก ศัตรูจะทรมานพวกเจ้าอย่างถึงที่สุด หากทนไม่ได้ก็คงกัดลิ้นตัวเองตายเป็นแน่แท้” หลี่เฉินกล่าวต่อ
“วันนี้ซู่เหวินจะแสดงความอดทนต่อการทรมานที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อพวกเจ้าถูกจับเป็นเชลยแก่ข้าศึก เริ่มแรกสุดพวกมันจะยึดชุดทหารกล้าของพวกเจ้าไปหมดไม่เหลือสักชิ้นเดียว”
เมื่อหลี่เฉินพูดจบก็ผายมือเชิญซู่เหวินก้าวขึ้นมาหน้าแท่นให้ทหารทั้งหลายมองเห็นกันทั่วหน้า ก่อนจะถีบซู่เหวินล้มคว่ำโดยไม่ทันตั้งตัว ทหารเบื้องล่างหลายหน้าก้าวครึ่งเท้าออกมาเหมือนสัญชาตญาณปกป้องเจ้านาย แต่ก็นึกถึงได้ว่านี่คือการฝึกอดทนต่อการเป็นทาสอยู่ จึงหยุดนิ่งดูการกระทำต่อไป
หลี่เฉินสั่งให้ชาย 3 คนเข้ามาปลดเปลื้องชุดเกราะพระราชทานประจำตระกูลออกก่อนโยนทิ้งอย่างไม่แยแสคุณค่าของชุดนั้นแม้แต่น้อย พร้อมถอดหมวกมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลออกวางไว้เบื้องหน้าซู่เหวิน
“ยามเป็นทาส ข้าศึกจะยึดของมีค่าทุกอย่างของพวกเจ้าไป เรื่องแค่นี้พวกเจ้าต้องอดทนให้ได้ ของพวกนี้เป็นสิ่งนอกกาย รอดชีวิตให้ได้สำคัญกว่า” หลี่เฉินอธิบาย ขณะที่ซู่เหวินอยู่ในสภาพอวดสัดส่วนทุกรูขุมขนให้ทหารเกณฑ์รับชมกันทั้วหน้า
ซู่เหวินค่อยๆ ลุกขึ้น เผยลำฆวยขนาดยักษ์ ที่ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นทุกวันหลังจากได้รับพิษแมงมุม จนวันนี้ฆวยซู่เหวินยาวเกือบหนึ่งฟุต หัวฆวยม่วงคล่ำบานฉ่ำไปด้วยน้ำหล่อลื่นใส จนทหารทั้งหลายต้องกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“พวกเจ้าจงดูไว้ และทำใจให้ได้เมื่อต้องเป็นทาสเปลือยกายต่อหน้าข้าศึก แม้แต่ท่านแม่ทัพยังทำได้ ช้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนย่อมทำได้เช่นกัน” หลี่เฉินพูดอย่างสบายอารมณ์
“บทเรียนที่สอง ยามเป็นทาส ข้าศึกจะไม่ปราณีพวกเจ้า แม้แต่น้ำและอาหารก็อย่าหวังจะได้จากศัตรู วิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ไม่ยาก...” หลี่เฉินเริ่มบทเรียนต่อมา
“ขาดอาหารอยู่ได้ 7 วัน แต่ขาดน้ำอยู่ได้เพียง 3 วันเท่านั้น หากพวกเจ้าอยากรอดชีวิตกลับมาแก้แค้นต้องหาน้ำดื่มกินให้ได้ โชคดีที่สวรรค์ยังมีตา ประทานน้ำใสที่ไหลออกมาได้เองจากร่างกายพวกเจ้ายามกำหนัด เป็นน้ำที่กลั่นมาจากร่างกายตัวเองจึงไม่เป็นอันตรายใดๆ” หลี่เฉินเล่าต่อ
“อย่างที่พวกเจ้าเห็น ซู่เหวินฉลาดหลักแหลมมาก เมื่อไร้ซึ่งน้ำดื่มกิน แม่ทัพใหญ่ก็ปล่อยน้ำหล่อลื่นใสสะอาดออกจากจากหัวฆวยของท่าน น้ำนี้แหละที่จะทำให้พวกเจ้ารอดชีวิตกลับมา” หลี่เฉินกล่าว
ก่อนจะป้ายน้ำชะโลมหัวฆวยของซู่เหวินขึ้นมาเป็นสายยาวราวกับใยแมงมุม ขณะชายทั้ง 3 คนก็จับซู่เหวินนั่งคุกเข่า เชิดใบหน้าและอ้าปากของซู่เหวินออก ปล่อยให้หลี่เฉินยัดนิ้วเปื้อนน้ำฆวยของซู่เหวินเข้าปากไป บังคับให้ซู่เหวินดูดดื่มน้ำจากร่างกายตัวเองอย่างน่าสมเพช
ทหารได้แต่ยืนมองดูท่านแม่ทัพ ในใจก็คิดเคลือบแคลงสงสัยว่าน้ำจากฆวยจะกินได้จริงหรือ แต่เมื่อคิดตามคำอธิบายของหลี่เฉินแล้วก็คล้อยตาม ด้วยว่าเป็นน้ำที่หลั่งออกมาจากกายเรา ย่อมไม่มีพิษต่อร่างกายเป็นผู้เป็นเจ้าของ อีกทั้งแม่ทัพซู่ยังแสดงการกินให้ดูอีก นั่นก็ทำให้เหล่าทหารเชื่อได้สนิทใจแล้วว่าน้ำหล่อลื่นชายสามารถดื่มกินได้
“ปริมาณน้ำแค่นี้ยังไม่พอยังชีพพวกเจ้าได้ ซู่เหวินโปรดแสดงวิธีการเพิ่มปริมาณน้ำให้ทหารของท่านดูไว้เป็นบุญตาด้วยเถิด” หลี่เฉินหันไปพูดกับซู่เหวิน
ซู่เหวินหมดหนทาง ยอมทำตามความต้องการของหลี่เฉินโดยดีด้วยห่วงพระมเหสีและพระโอรส ก่อนจะยืนขึ้นตรง แอ่นลำฆวยไปเบื้องหน้าทหารใต้ฝ่าเท้าของตน ก่อนใช้มือขวากำรอบลำฆวย ปล่อยนิ้วชี้ออกมาหมุนวนรอบหัวฆวย มือซ้ายเค้นคลึงพวงไข่ยานทั้งสองข้างสลับไปมา ก่อนเลื่อนขึ้นมาบีบบี้หัวนมชาย ส่งผลให้น้ำหล่อลื่นผุดไหลเยิ้มเป็นสายน้ำใสหลายระลอก
แม่ทัพรีบใช้มือรองรับน้ำหล่อลื่นไว้เต็มอุ้งมือ และหันไปมองหน้าลี่เฉินซึ่งกำลังพยักหน้าให้สัญญาณ จากนั้นแม่ทัพซู่ก็หันกลับไปทางทหารพร้อมทั้งยกอุ้งมือที่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำฆวยขึ้นเลีย กระดกซด ทุกหยาดหยดตกลงสู่ปากของแม่ทัพ เป็นภาพที่หาดูได้ยาก เมื่อชายหนุ่มรูปงามเต็มใจมายืนกินน้ำจากฆวยตนเองให้ทหารในจวนดูเช่นนี้
“ขอเสียงปรบมือให้ในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของซู่เหวิน แม้นทำได้อย่างท่าน พวกเจ้าจะไม่มีทางอดน้ำตาย เพราะน้ำหล่อลื่นนี้จะผลิตขึ้นทุกวันทุกเวลา หลั่งออกมาได้ไม่อั้น” หลี่เฉินกล่าวพร้อมปรบมือขึ้นเบาๆ
เหล่าทหารผู่โง่เขลา เมื่อได้รับการสั่งสอนงจึงคล้อยตามคำสอนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับพบทางสว่างที่ใคร่ควรญดูแล้วก็เห็นเป็นจริง น้ำหล่อลื่นนี้มีปริมาณไม่จำกัด ต่อให้ถูกจองจำอยู่ในคุกมืดก็ไม่อดน้ำตาย ท่านแม่ทัพซู่ช่างฉลาดล้ำและมีเมตตายิ่งนัก ที่บอกเคล็ดลับเอาตัวรอดที่ไม่มีใครคิดได้เช่นนี้ แต่เมื่อคิดว่าจะต้องกินน้ำจากฆวยตัวเอง ทหารหลายนายก็ขนลุกขึ้นทันใดที
“สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการดื่มน้ำฆวยของตัวเอง คือการสร้างความกำหนัดให้ได้แม้ยามถูกทรมาน หลังจากนี้ให้พวกเจ้าแบ่งเวลาฝึกตนสร้างความกำหนัดในทุกสถานการณ์ให้ได้ แต่วันนี้ในเบื้องต้นยังพอมีอีกวิธีหนึ่งที่จะรอดชีวิตหากพวกเจ้าสร้างความกำหนัดไม่สำเร็จ นั่นคือขอดื่มน้ำจากเพื่อนเชลยศึกของพวกเจ้า” หลี่เฉินกล่าวอย่างรู้และเข้าใจความคิดของทหารทุกคนเป็นอย่างดี
“บทเรียนต่อไป...ขอเชิญคุณหนูเริน ขึ้นบนแท่งบัลลังค์เพื่อสาธิตการดื่มน้ำฆวยจากชายอื่นให้ทหารทั้งหลายดูด้วยเถิดพะยะค่ะ” หลี่เฉินกล่าวเชิญพระโอรสของซู่เหวิน
ม่านถูกเปิดออก เผยภาพคุณหนูเรินค่อยๆ ก้าวขึ้นมาบนแท่งแสดงโชว์ ไม่มีแม้นผ้าเตี่ยวสักชิ้นปกปิดเรือนร่าง !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น