จุดเริ่มต้น แสงตะวันยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องบรรทมกระทบกับผิวชายหนุ่มรูปร่างดี ที่บัดนี้ไร้ซึ่งขนปกคลุมร่างกาย ผมบนหัวก็ถูกตัดออกจนสั้นและถูกแทนที่ด้วยขนหมอยของตนเอง สภาพทั้งหมดนี้ดูปกติไปทันที เมื่อเทียบกับฆวยของชายหนุ่มที่ตอนนี้ยาวกว่าเดิมจนสองมือต่อกันยังจับไม่หมด ลำฆวยขยายออกทุกทิศทาง ทำให้ลำฆวยอวบใหญ่กว่าข้อมือของผู้เป็นเจ้าของจนน่าตกใจ เส้นเลือดเต่งตึงมองเห็นการไหลเวียนได้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยสีสันลำฆวยที่แลดูม่วงคลำจนน่าเกลียดน่ากลัว แต่ก็มิอาจปิดบังความงดงามของคุณชายซู่เหวินได้เลย นับตั้งแต่เกิดคุณชายซู่ได้รับฉายาว่า “โอรสสวรรค์” ด้วยรูปร่างหน้าตาที่งามเกินมนุษย์ด้วยกัน จนผู้พบเห็นทุกคนล้วนยอมรับว่าฉายานี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เช้านี้แม่ทัพซู่รู้ดีว่าตนมีตารางฝึกซ้อมรบกับเหล่าทหารล่างชั้นเลว ซึ่งตามปกติแล้วไม่ได้สร้างความหนักใจให้แก่เขาได้เลย เว้นเสียแต่ว่าวันนี้ช่วงเวลาฝึกซ้อมนั้นคาบเกี่ยวกับยามวอก ยามที่เขาต้องระบายพิษแมงมุมออกจากฆวยของเขา แต่คนอย่างซู่เหวินรบมาทั่วหล้าล้วนได้รับชัยชนะ เขาไม่มีทางยอมแพ้คนชั้นต่ำอย่างหลี่เฉินเป็นแน่ “ทหาร ไปตามหมอหลวงมาพบข้าที่ห้องบรรทมเดี๋ยวนี้” ทหารนอกจวนที่พึ่งผลัดเปลี่ยนเวรยามมายืนเผ้าห้องบรรทมตั้งแต่ไก่โห่ เมื่อได้ยินเจ้านายสั่งก็เร่งสาวเท้าไปตามหมอหลวงมาทันที เมื่อหมอหลวงมาถึงห้องบรรทม ก็พบกับแม่ทัพซู่เหลิงที่ดูแปลกตาไปมากเหลือเกิน ทรงผมดู...ดูประหลาดอย่างอธิบายไม่ถูก ร่างกายดูกำย่ำ กล้ามเนื้อแข็งนูนไปทั่วร่าง หมอหลวงคาดว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วแน่ๆ “เมื่อคืนข้าถูกหลี่เฉิ...” ยังไม่ทันกล่าวจบประโยค แม่ทัพซู่ก็หยุดพูดไปดื้อๆ พรางคิดว่าหากหมอหลวงไม่สามารถช่วยรักษาอาการติดพิษของเขาได้ หลี่เฉินจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่เขาจะไปขอยาแก้พิษ หากประกาศแก่ธารกำนันและทหารน้อยใหญ่ว่าหลี่เฉินเป็นกบฏตอนนี้ หลี่เฉินคงไม่พอใจรั้งแต่จะทำให้ความหวังของเขาริบหรี่ สู้หาทางรักษาพิษอย่างเงียบๆ แล้วจัดการหลี่เฉินภายหลังก็ไม่เสียหาย คนอย่างเขาวางแผนการรบมานับร้อยครั้งไม่เคยพลาด ครั้งนี้เขาก็หวังเช่นนั้น “ข้าบังเอิญถูกแมงมุมแม่หม่ายดำกัดเข้าเมื่อคืน พอจะมีทางรักษาได้หรือไม่ ท่านผู้เฒ่า” ซู่เหวินเอ่ยถามหมอหลวงต่อทันที “เรียนฝ่าบาท แมงมุมแม่หม่ายดำเป็นสัตว์มีพิษร้ายจากแคว้นเหอเป่ย ไม่ปรากฏในแคว้นต้าเหลียนของเรามาหลายทศวรรษแล้วขอรับ เดิมทีมีการสกัดเอาพิษของแมงมุมชนิดนี้ปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียวผสมกับน้ำสามสิบถัง ปรุงเป็นยาเพิ่มกำหนัดแก่ทั้งชายและหญิง หากพระองค์ถูกกัดจริงแล้วเล่า พิษจะมากเหลือนับคณา คงมิอาจอยู่พูดกับหม่อมฉันได้ถึงตอนนี้หรอกพะยะค่ะ” หมอหลวงพยายามอธิบายถึงความเป็นไปไม่ได้ที่องค์เหนือหัวของเขาจะถูกสัตว์ร้ายชนิดนี้กัดเข้าเมื่อคืน ซู่เหวินจนปัญญาที่จะอธิบาย พลั้นก็ปลดเสื้อคลุมร่างออก เผยให้เห็นทุกสัดส่วนของตนปรากฏแก่ท่านผู้เฒ่า แม้ท่านผู้เฒ่าจะเคยเห็นแม่ทัพซู่เปลือยกายมาตั้งแต่เด็กแรกเกิดจวบจนเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เช่นนี้ ก็มิอาจสร้างความตะลึงงันได้มากเท่าครั้งนี้ เพราะเครื่องเพศของฝ่าบาทนั้นช่างดู...ดูองค์อาจน่ากลัวยิ่ง ท่อนลำลึงค์ฝ่าบาทผงกขึ้นลงพร้อมสายน้ำเมือกใสไหลยืดย้อยตั้งแต่ส่วนปลายจรดลงบนพื้นแท่นบรรทม คิ้วหมอหลวงขมวดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ลักษณะเช่นนี้เขารู้ดีว่าเกิดจากพิษของแมงมุมแม่หม้ายดำแห่งเหอเป่ยไม่ผิดแน่ “ฝะ...ฝ่าบาท ท่านถูกพิษของแมงมุมแม่หม้ายดำ ขะ...ข้าจนด้วยปัญญาจะรักษาได้พะยะค่ะ” นี่เป็นครั้งแรกที่หมอหลวงปฏิเสธการรักษาให้ฝ่าบาทอย่างรนราน “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า ท่านเป็นหมอ ท่านย่อมรู้จักสมุนไพร รู้จักวิธีการรักษาพิษ โปรดบอกข้ามาเถิด” แม่ทัพเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยที่ความหวังของเขาเริ่มเลือนหายไป “เรียนฝ่าบาท พิษนี้ร้ายกาจยิ่งนัก หากแม้รักษาผิดวิธีจะกลายเป็นดูดซึมพิษกลับเข้าเจ้าของร่างทันที เอ่อออ...ในเบื้องต้นข้าทำได้เพียงแนะนำท่านว่า...” หมอหลวงเงียบไป “ว่าอย่างไรท่านผู้เฒ่า เร่งชี้แจ้งมาเถิด จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที่” ซู่เหวินคะยั้นคะยอ “ฝ่าบาทต้องระบายพิษออกมาให้เหลือน้อยที่สุดเสียก่อนจะเป็นการดี วิธีการขับพิษนั้นทำได้โดย...เอ่ออ ข้าลำบากใจที่จะพูดเหลือเกิน” หมอหลวงถอนหายใจ “พูดมาเถอะ อย่าได้เกรงใจข้าเลย บัดนี้ชีวิตข้าสำคัญกว่าสิ่งใด” ซู่เหวินกล่าวเตือนสติหมอหลวง “เรียนฝ่าบาท ท่านต้อง...ทำการรูดเครื่องเพศขึ้นลงจนเกิดการเคลื่อนของกระแสน้ำภายใน ช่องทางที่พิษจะขับออกมาคือช่องเดียวกันกับช่องน้ำรักพะยะค่ะ อีกทั้งการเคลื่อนของพิษต้องกระทำยามวอกเท่านั้น เนื่องจากเป็นเพลาที่อุณหภูมิของพระอาทิตย์กำลันระอุ พิษที่หลั่งออกมาจะสลายไปอย่างสมบูรณ์พะยะค่ะ กระทำเช่นนี้ 7 วัน ก่อนแล้วจึง...ดื่มสารคัดหลั่งของคนจากเหอเป่ย” หมอหลวงกล่าวจบพร้อมกับปาดเหงื่อที่หน้าผาก สรุปความได้ว่าขุนศึกอย่างเขาต้องช่วยตัวเองในยามวอกจริงๆ เป็นเวลา 7 วันดังที่หลี่เฉินกล่าวไว้ไม่ผิด หลังจากนั้นหลี่เฉินบอกว่าได้เตรียมกระสินธุบุษราคัมไว้แก้พิษ คงเป็นสารคัดหลั่งบางอย่างตามที่หมอหลวงชี้แจ้ง อย่างไรเสียวันนี้เขา-ในฐานะแม่ทัพใหญ่-ยังพอมีโอกาสที่จะไม่ต้องพ่นน้ำรักออกมาในช่วงฝึกทหารชั้นเลวในยามวอก นั้นคือเขาต้องยกเลิกการฝึกในวันนี้ไปเสีย “อ้าว ทูลกระหม่อมของข้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาเสียให้นาน บัดนี้เหล่าทหารกล้าพร้อมเพียงเข้าแถวเรียงรายรอรับการฝึกจากท่านแล้วขอรับ” หลี่เฉินเดินเข้ามาอย่างกะทันหัน พร้อมแจ้งข่าวที่ทำให้แม่ทัพซู่ถึงกับควันออกหู คนอย่างเขาไม่เคยมีใครตามความคิดได้ทัน หลี่เฉินนี้ช่างร้ายกาจราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดการอันใดอยู่ “ฝ่าบาทจะเลื่อนการฝึกออกไปก่อนก็ได้พะยะค่ะ แต่กระแสสินธุบุษราคัมนั้นคงจะ...” หลี่เฉินกล่าวท้าทาย เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ทางหนึ่งก็ทหารในจวนที่รอแม่ทัพใหญ่อยู่ ทางหนึ่งก็ยาแก้พิษ ซู่เหวินจึงจำใจต้องสวมอาภรณ์แม่ทัพใหญ่ออกฝึกพวกทหารที่ยืนเข้าแถวตากแดดรอเขาอยู่นาน ณ ลานฝึกทหาร แม่ทัพใหญ่ซู่เหวินปรากฏกายแก่เหล่าทหารนับหมื่นคนที่เข้าแถวอย่างเป็นระเบีบบ การมาของท่านแม่ทัพทำให้ทหารน้อยใหญ่ยืดตัวขึ้นตรงอย่างไม่ต้องคิด เบื้องหน้าของเหล่าทหารคือยอดขุนพลตระกูลซู่ที่ยืนตระหง่านอยู่บนแท่นสั่งการ ใบหน้าแม้นมองจากระยะไกลก็รู้ได้ว่านี่คือโอรสสวรรค์ที่งามเหนือบุรุษทั่วแคว้น หมวกและอาภรณ์สีทองระยับงดงามยามต้องแสงตะวัน ขับให้ชายผู้นี้ดูหล่อเหลาเสียจนทหารต้องเก็บอาการอิจฉาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ราบเรียบรอรับคำสั่ง “วันนี้ข้าจะสอนการใช้ดาบแก่พวกเจ้า จงฟังให้ดี หยิบดาบข้างกายพวกเจ้าขึ้นมา แล้วจับคู่หันหน้าเข้าหากัน” แม้แม่ทัพซู่เหลิงจะไม่ได้ตะโกนแต่เสียงกลับดังก้องกังวานสมเป็นนักรับผู้กล้า สร้างความเลื่อมใสแก่เหล่าทหารได้มากโข แม่ทัพซู่เดินลงจากแท่นเพื่อสอนทหารใช้ดาบอย่างใกล้ชิด บัดนี้เสียงดาบกระทบกันดังโฉงเฉงทั่วสนามฝึก ซู่เหวินให้ความทุ่มเทมากกับการฝึกทหารเหล่านี้เพื่อหวังสร้างกองทัพที่เกรียงไกร จนลืมไปว่าใกล้ยามวอกเข้าทุกที จู่ๆ แม่ทัพซู่ก็รู้สึกร้อนผ่าวๆ ไล่ตั้งแต่หัวลงไป-เท้าขึ้นมาบรรจบตรงฆวยของเขา ซู่เหวินรู้สึกได้ทันทีว่าความกำหนัดนั้นเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ลำฆวยยกดันชุดเกราะแข็งสร้างความอึดอัดให้เขาอยู่ไม่น้อย “เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่? แย่แล้ว บัดนี้เป็นยามวอกแล้ว” ซู่เหลิงพึมพำกับตัวเองอย่างรนรานเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าถึงเวลาต้องระบายพิษออกแล้ว บัดนี้เขายืนอยู่กลางสนามรบ ท่ามกลางเหล่าทหารที่ตั้งใจฝึกฟันดาบอย่างมุ่งมั่น กลับเป็นตัวเขาเองที่เกิดความกำหนัดขึ้นมาในเพลาเช่นนี้ น่าอายยิ่งหนัก แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเขาต้องระบายพิษให้ทันก่อนจะล่วงเลยยามวอกไป ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว สมองของซู่เหวินคิดทบทวนหาทางออกที่ดีที่สุดซ้ำไปซ้ำมา “หยุดซ้อม!!!” ซู่เหวินกัดฟันโพลงออกไปจนเหล่าทหารได้ยินกันถ้วนหน้า “วันนี้พวกเจ้าใช้ดาบได้ดีอย่างนักรบมาก อย่างไรก็ตามพวกเจ้าสมควรต้องฝึกการใช้ดาบอย่างนักรักด้วยเช่นกัน กองทัพของข้าต้องสมบูรณ์ในทุกรูปแบบ” ซู่เหวินตะโกนอย่างผู้มีอำนาจ ทหารทั้งหลายน้อมรับฟังอย่างเจียมตัว “ยามศึกสงครามพวกเจ้ามีเพียงดาบในมือ อีกทั้งต้องทนรับกับสภาวะกดดันทุกทิศทาง ยามศึกสงบพวกเจ้าก็ควรใช้ดาบประจำกายหาความสุขสำราญให้เป็นด้วยเช่นกัน เข้าใจหรือไม่?” ซู่เหวินตะโกนถาม “เข้าใจขอรับ” เหล่าทหารตอบพร้อมเพียงกัน ในใจนึกสงสัยในการสอนครั้งนี้ แต่ประสบการณ์สอนให้พวกเขารู้ว่าควรทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมิให้บกพร่องหากไม่อยากเดือดร้อน “ในที่แห่งนี้มีเพียงพวกเรา ชายชาติทหารเหมือนกัน ยามรบร่วมรบ ยามพักร่วมพัก ไม่มีความลับใดๆ ต่อกัน” เมื่อเห็นว่าจะใกล้สิ้นสุดยามวอกเต็มที่แล้ว ซู่เหวินไม่รอช้า เร่งปลดเครื่องราชย์อาภรณ์สีทองอร่ามออก เผยให้เห็นทรงผมที่ดูแปลกประหลาด ดูคล้ายขนในที่ลับ สร้างความสงสัยให้ทหารชั้นเลวแต่ก็ไม่มีใครกล้าออกปากถามท่านแม่ทัพ เลื่อนจากผมลงมาเจอมัดกล้ามที่สวยงามอย่างทึ่สุด กล้ามอกที่นูนเด่น ไหล่กว้าง สอดรับกับกล้ามแขนที่สมส่วน ถัดมาเป็นกล้ามท้องขึ้นเป็นลอนชัดเจน แต่สิ่งที่เห็นหลังจากนี้กลับสร้างความมึนงงระคนตะลึงแก่เหล่าทหารทั่วลานยุทธ์
ตอนที่ 5
หลั่งน้ำร่วมสาบาน ท่อนเอ็นขนาดผิดมนุษย์ของแม่ทัพเผยต่อเหล่าทหาร ไร้การปกปิดใดๆ บัดนี้ท่านแม่ทัพยืนเปลือยกายท้าแสงแดดยามวอก ท่ามกลางเหล่าทหารนับหมื่นคน “เหตุใดท่านแม่ทัพของพวกเราจึงปราศจากขนตรงเนินโคนฆวยเช่นนี้ ช่างดูประหลาดยิ่งนัก ดูไม่สมชายชาตรีชาติทหารเอาเสียเลย แลดูสะอาดราวกับขันที” นี่คือความคิดแรกของเหล่าทหารในลานฝึก “เหลือเชื่อเกินไปแล้ว นี่เป็นฆวยที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ข้าเคยพบเห็น ใหญ่เสียจนสตรีที่เจอต้องนอนซมป่วยไข้ไปสามวันเจ็ดวันเป็นแน่แท้” เหล่าทหารคิดกันไปต่างๆ นาๆ “แม้ผิวกายของท่านแม่ทัพจะขาวระเรื่อเรืองรอง แต่ฆวยกลับดำคลำน่าเกลียด สงสัยจะเปิดศึกกับนางสนมเสียบ่อยจนหัวฆวยด้านดำได้ถึงขนาดนี้” ทหารบางส่วนตั้งข้อสังเกตุ ซู่เหวินไม่ปล่อยให้ทหารคิดกันไปเรื่อย ตะโกนออกคำสั่งให้ทุกคนปลดเสื้อผ้าออกเสียให้หมด จนบัดนี้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกว่าหมื่นคน ยืนเปลือยเปล่าอยู่ในลานฝึกของจวนแม่ทัพใหญ่ ใครมาพบเห็นเข้าคงคิดว่าเสียสติไปแล้วแน่ๆ “พวกเราเป็นชายเหมือนกัน เรามีสิ่งที่นักรบมีแต่อิสตรีไม่มี นั้นคือดาบคู่กาย ใหญ่เล็กต่างกัน หากผู้ใดแสดงอาการเขินอายให้ข้าเห็น ข้าจะจับตอนให้เป็นขันทีอยู่วังหลังทันที” ซู่เหวินขู่ เพื่อให้ทหารในลานผ่อนคลายมากขึ้น บัดนี้ทหารทั้งหลายล้วนเห็นของกันและกัน ดังที่แม่ทัพสอน พวกเราเป็นทหาร ไม่สมควรมีความลับต่อกัน คิดได้ดังนั้นก็เลื่อมใสในวิธีการสอนของท่านแม่ทัพด้วยเข้าใจว่าต้องการให้พวกเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน “การฝึกวันนี้นั้นง่ายมาก หากพวกเจ้าซื่อสัตย์กับข้าจริง พวกเจ้าต้องกล้าทำทุกอย่างเพื่อข้าแม้สิ่งนั้นจะน่าอายสักเพียงใดก็ตาม ข้าขอสั่งให้ทหารทุกนายยืนเค้นคลึงลำดาบระห่างขาของตนให้แข็งและปลดปล่อยน้ำรักร่วมสาบานพร้อมกัน เป็นสัญญาว่าพวกเราคือทหารแห่งตระกูลซู่” แม้จะงุนงงในคำสั่ง แต่ทหารทั้งหลายก็ทำตามแต่โดยดีเพื่อพิสูจน์ว่าตนพร้อมจะรับใช้ตระกูลซู่ที่ยิ่งใหญ่ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันแม่ทัพหนุ่มจ้องมองเงาตะวันที่ใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนจากยามวอกเป็นระกา พลันก็เร่งสาวฆวยอย่างเมามัน ท่ามกลางเสียงระงมของทหารที่พอเห็นแม่ทัพใหญ่ไม่อาย ก็เริ่มรูดฆวยเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้านายอย่างไม่อายกันและกัน บัดนี้ชายทั้งลานรวมทั้งขุนศึกยืนกระถอกฆวยขึ้นลงอย่างเสียวซ่าน บ้างก็เน้นต้องส่วนหัวฆวย บ้างก็ลูบไล่ไปตามเรือนร่างของตน บ้างก็บี้หัวนมชูชันจากกล้ามอก บ้างก็ดึงพวงไข่ไปมา เสียงซิ๊ดปากดังก้องไปทั่วลานยุทธ์ น้ำหล่อลื่นหลั่งไหลเปรอะเปื้อนไปทั่วลาน หากนี่เป็นการประชันแข่งขันกันสาวฆวยก็ยากที่จะหาผู้ชนะได้ศึกครั้งนี้ได้ ท่านแม่ทัพเองบัดนี้ก็เสียวซ่านอย่างที่สุด เคยหลั่งน้ำรักก็มาก ทั้งกับสนมเล็กใหญ่ หรือกับมือตนเอง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะเสียวไปทั้งร่างทั้งตัวเช่นนี้ อาจเพราะฤทธิ์ของแมงมุมร้ายแห่งเหอเป่ย เขา-ซู่เหวิน-ในตอนนี้ยืนสาวฆวยกลางแดดจ้า ร่วมกับเหล่าทหารหาญ บ้างคนก็เริ่มกระฉูดน้ำรักออกมาอย่างไม่สงสารพื้นดินที่รองรับ กลิ่นคาวน้ำรักคละคลุ้งไปทั่วลาน เพิ่มความเสียวซ่านให้แม่ทัพใหญ่ที่เร่งสาวฆวยอย่างไม่ลืมหูลืมตา สองเท้าจิกพื้นดินแน่นมั่นคง เงยหน้าซูดปากเย้ยฟ้า สองมือกระถอกฆวยยาวอย่างไม่ลดละ ดวงตาเลื่อนลอย กล้ามเนื้อเกร็งตัวเป็นสัญญาณว่าน้ำรักของท่านแม่ทัพกับจะหลั่งรดพื้นแผ่นดินแห่งเต้าเหลียนที่บรรพบุรุษหลั่งเลือดสร้างขึ้นมา ทหารทั้งหลายจ้องมองช่วงเวลาสำคัญ “โอ้วว....อ่า...ข้าทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วววว” ไม่นานท่านแม่ทัพก็คำรามลั่นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลานฝึก นักน้ำรักของท่านแม่ทัพซู่ก็กระฉูดพุ่งเป็นสายยาวขาวขุ่น ไกลกว่า 3 เมตร อีกทั้งยังพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ระลอกไม่ลดละ แก่นฆวยกระดกปลดปล่อยน้ำเสียวออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งลดลงจนกลายไปไหลหยาดเยิ้มจากปากฆวยลงสู่พื้นดิน ทหารหลายนายขยี้ตาราวกับไม่เชื่อในภาพที่เกิดขึ้น “ท่านแม่ทัพฆวยช่างใหญ่ น้ำรักก็เยอะ ถ้าข้าได้สักครึ่งหนึ่งของท่านแม่ทัพ ภรรยาข้าคงหลงข้าไม่น้อย” นายทหารหลายนายแอบคิดในใจ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าฆวยแห่งโอรสสวรรค์จะน่าอิจฉาได้ถึงเพียงนี้ ใครเห็นเป็นต้องยกธงขาวยอมแพ้ราบคาบ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านแม่ทัพมีภรรยาและลูกอยู่มากมาย” กระแสความคิดของทหารเริ่มหลั่งไหลออกมา “ฆวยท่านแม่ทัพช่างดูน่าเกรงขามสมพระยศของท่านจริงๆ พระมเหสีทรงรับท่อนฆวยขนาดนี้ไหวได้เยี่ยงไรกัน” ทหารนายหนึ่งพูดกับตัวเอง “บัดนี้พวกเราหลั่งน้ำรักสาบานเป็นพี่น้องร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันเรียบร้อยแล้ว ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเจ้ามาก” ซู่เหวินกล่าวทั้งที่ยังมีน้ำฆวยเหนี่ยวข้นไหลยืดออกมาจากปลายฆวย เพลานี้ล่วงเลยยามวอกแล้ว ซู่เหวินพบกว่าเขาอยู่ท่ามกลางน้ำรักเนืองนองเต็มผืนดิน ส่งกลิ่นเหม็นคาวไปทั่วจวน เมื่อสิ้นความกำหนัดแล้วจึงเกิดความรู้สึกผิด ลานยุทธ์แห่งนี้เป็นลานมีเกียรติ ผลิตทหารกล้ารับใช้กองทัพตระกูลซู่เรื่อยมา บัดนี้กลับกลายเป็นลานโลกี เจิ่งนองไปด้วยน้ำสีขาวขุ่นจากเหล่าทหารในบังคับบัญชา รวมถึงน้ำรักของตัวเขาเอง แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่เขาคิดได้ หากเขาต้องยืนสาวฆวยระบายพิษแต่เพียงผู้เดียวท่ามกลางทหารที่กำลังฝึกอยู่คงถูกมองจากเหล่าทหารว่าเป็นโรคจิตวิปราศ แต่วิธีนี้ทำได้แนบเนียบกว่า โดยเอาการฝึกและความจงรักภักดีมาเป็นข้ออ้างในการระบายความใคร่ หากเป็นความผิดก็ต้องโทษไอ้หลี่เฉินแต่เพียงผู้เดียว เพราะมันทำให้ข้าต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้น ได้แต่กัดฟันกรอดๆ รอยามวอกวันถัดไป
ตอนที่ 6
เคารพบรรพชน ยามราตรีค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มรูปงามนอนก่ายหน้าผาก ในใจล้วนคิดถึงเหตุการณ์อันน่าอดสูของวันนี้ ก่อนจะแสดงสีหน้าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่ายามดวงสุริยันโผล่พ้นขึ้นขอบฟ้าวันพรุ่งนี้ คือวันเคารพบรรพชนที่ลูกหลานตระกูลซู่ทำกันมาช้านาน แน่นอนว่างานพิธีใหญ่เช่นนี้กินเวลายาวนานคลอบคลุมยามวอกด้วย ชายหนุ่มได้แต่คิดกังวลจนเผลอหลับไปด้วยความเพลีย ยามเช้าของวันใหม่เริ่มขึ้น ซู่เหวินมิได้สดชื่นเหมือนแต่ก่อน บัดนี้ดวงพักตร์ของชายน้ำถูกประดับด้วยไรหนวดเขียวคลึม ขับส่งใบหน้าชายหนุ่มให้คมเข้มน่ามอง ผิวกายคลำขึ้นจากการยืนสาวฆวยเมื่อวานที่ผ่านมา ขนหมอยที่ติดบนหัวเริ่มหลุดลอกออกบ้างเป็นหย่อมๆ ขณะที่ขนหมอยที่ฆวยเริ่มผุดขึ้นเป็นตอ สร้างความคันยุบยิบแก่ขุนศึกอย่างมาก “ฝ่าบาทตื่นแล้วหรือพะยะค่ะ ข้าได้เตรียมอาภรณ์สำหรับใส่ไปร่วมงานเคารพบรรพชนให้ท่านเรียบร้อยแล้ว รับรองท่านต้องพอใจ” หลี่เฉินพูดพร้อมผลักบานประตูเข้ามาอย่างไม่แยแส พร้อมกับกล่องไม้บรรจุเสื้อผ้าสำหรับซู่เหวินไว้ แม่ทัพซู่เปิดกล่องไม้ออกก็พบชุดไหมทองคำที่ดูงดงามยิ่งนัก แต่พอหยิบขึ้นสวมใส่ กลับพบว่าเส้นไหมทองคำเหล่านี้บางละเอียดแต่แนบสนิทติดกับผิวกายของเค้าได้ดี ดีจนเผยทุกสัดส่วน ตัวเสื้อแสดงกล้ามอก กล้ามท้อง ได้อย่างงดงาม ตัวกางเกงสั้นเหนือเข่าแสดงเค้าโครงร่างซู่น้อยใต้หว่างขาได้อย่างชัดเจน “แล้วเสื้อนอกกับชุดคลุมข้าเล่าอยู่แห่งใด?” ซู่เหวินกัดฟันถามหลี่เฉินอย่างใจเย็น “ชุดของท่านมีเพียงเท่านี้ หากขอมากกว่านี้ เห็นทีข้าคงให้ยาถอนพิษแก่ท่านไม่ได้” หลี่เฉินกล่าวอย่างสบายใจ ซู่เหวินเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะต่อรองกับหลี่เฉิน จึงยอมฉลองพระองค์แต่เพียงเท่านี้แม้อย่างไม่เต็มใจ เมื่อก้าวพ้นขอบประตู แม่ทัพกลายเป็นจุดสนใจขึ้นในหมู่ทหารอย่างฉับพลัน ด้วยการแต่งกายที่มีเพียงเส้นใยสีทองเคลือบร่างอยู่ แต่มิอาจปกปิดรูปร่างสัดส่วนใดๆ ได้เลย โดยเฉพาะท่อนฆวยที่ประจักษ์แก่สายตาทหารกล้ามาแล้วเมื่อวานนี้ แม่ทัพไม่แสดงความสนใจรีบก้าวขึ้นเกี่ยวรับเสด็จแล้วปิดม่านลงทันทีที่สั่งให้เคลื่อนขบวนเดินทางมุ่งหน้าสู่หลุมศพบรรพชน ณ หลุมศพบรรพชน มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในลานโล่งแจ้ง บัดนี้ขบวนเสด็จของซู่เหวินเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว ม่านถูกแหวกออก พร้อมกับการเยื้องย่างอย่างสง่าของโอรสสวรรค์ งดงามราวเทพบุตร ดูน่าชมไปเสียหมด เว้นเสียแต่ชุดที่แปลกประหลาดพอๆ กับทรงผม และไรหนวดที่ขึ้นไล่เป็นเคราเขียว ผู้คนเริ่มซุบซิบนินทาถึงความไม่ปกติของท่านแม่ทัพในครานี้ แต่แม่ทัพกลับไม่สนใจเดินตรงไปนั้นในเก้าอี้ประธานหน้าหลุมศพบรรพชนของเขา งานนี้เต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต ขุนนาง ข้าราชบริภาร นายทหารใหญ่ องค์รักษ์ฮ่องเต้ อีกทั้งชนชั้นชาวบ้าน ไพร่ทาส ก็มาร่วมงานอย่างครึกครื้น ทุกคนล้วนซาบซึ้งและให้ความสำคัญกับตระกูลซู่ผู้ปกปักษ์รักษาดินแดนในอาณาบริเวณนี้มาช้านาน บรรพบุรุษตระกูลซู่ได้รับความเคารพเลื่อมใสแก่ผู้คนทั่วทุกเขตแคว้น ปัจจุบันบุตรชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลซู่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีไม่บกพร่องเฉกเช่นบรรพบุรุษ ซู่เหวินเป็นยอดขุนพลที่สร้างความดีความชอบให้แก่ฮ่องเต้จนมอบตำแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งให้ ถือว่ามีอำนาจรองจากฮ่องเต้เหนือหัวเลยก็ว่าได้ มาปีนี้ซู่เหวินกลับรู้สึกอยากให้งานนี้จบไวๆ ก่อนยามวอกได้ยิ่งดี แต่สถาณการณ์ดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่หวัง เพราะผู้คนล้นหลามต่างเข้าไปไหว้ป้ายบรรพบุรุษตระกูลซู่อย่างคับคั่ง ควันธูปล่องลอยเป็นกลุ่มหนา ช่วงเวลาผ่านไปนานจนใกล้ยามวอกขึ้นทุกที ลำฆวยเขาเริ่มพองโตขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่จำนวนคนกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย “เพลานี้ถือเป็นมงคลยิ่งนัก ขอเชิญท่านแม่ทัพเหวินเข้าเคารพบรรพชนตระกูลซู่ขอรับ” อยู่ๆ หลี่เฉินก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับป่าวประกาศก้องได้ยินทั่วทั้งงาน เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซู่เหวินตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากแม้นนั่งอยู่ตรงนี้ก็จะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย หากแม้นลุกยืนขึ้นก็จะเผยสัดส่วนชายหนุ่มที่ฆวยขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เม็ดเหงื่อเริ่มผุดทั่วร่างกาย ความร้อนผ่าวๆ จากภายในเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาต้องเร่งระบายพิษออกจากท่อนฆวยของตนก่อนพ้นยามวอกนี้ไป “ท่านแม่ทัพซู่ โปรดให้เกียรติเคารพป้ายหลุมศพบรรพชนด้วยเถิด” นายกองชิงฟู่-องครักษ์ของฮ่องเต้เอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าแม่ทัพซู่ยังไม่ลุกจากที่นั่งของตนเสียที ซู่เหวินได้แต่สูดหายใจลึกๆ แล้วลุกยืนขึ้น สร้างความฮือฮาไม่น้อยเมื่อท่อนฆวยของเขาแข็งตัวเต็มที่ดันชุดไหมทองออกมาอย่างชัดเชน แม้แต่ไข่ทั้งพวงของเข้ายังมิอาจเล็ดลอดสายตาของคนในงานได้ สตรีบางคนรีบปิดตาลูกเล็กเด็กแดง แต่สายตาตนยังคงจ้องมองท่อนลำของบุตรชายตระกูลซู่อย่างตกตะลึงในความใหญ่และยาวเหนือบุรุษใดๆ ปานจะกลืนกินให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แม่ทัพซู่กำลังถูกพิษแมงมุมเข้าเล่นงานอีกครั้ง ความกำหนัดพึ่งทะยานสูง พร้อมกับความร้อนจากท่อนฆวยที่ผงกหัวขึ้นลงอย่างเสียวซ๋าน ซู่เหวินรู้ดีว่าหากเขาไม่รีบปลดปล่อยน้ำรักออกมา เขาจะตายในไม่ช้า แผ่นเดินต้าเหลียนจะไร้ผู้ปกครอง เหล่าทหารจะไร้ที่พึ่ง ที่สำคัญความแค้นของเข้ายังไม่ได้ชำระ “ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอโทษ” ทันทีที่ความคิดจบลง ซู่เหวินก็กระชากชุดไหมทองแนบเนื้อออกจากกาย ยืนเปลือยเปล่าหน้าหลุมศพบรรพชน หัว***กระดกขึ้นลงอย่างอิสระราวกับกำลังทักทายบรรพบุรุษตระกูลซู่ที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้คนในงานยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุใดโอรสสวรรค์ผู้นี้จึงกระทำการน่าอับอายต่อหน้าผู้คนได้ขนาดนี้ “ทหาร!!! จับแม่ทัพซู่เหวินใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้” องค์รักษ์ชิงฟู่ร้องขึ้นทันที ทหารนับสิบตรงเข้าจับแม่ทัพซู่ แต่ไม่ทันไรก็ถูกแม่ทัพซู่ทุ่มกระเด็นออกจากบริเวณหลุมศพบรรพชน เหลือเพียงสองทหารที่เข้าจับแม่ทัพซู่จากด้านหลัง จนแม่ทัพดิ้นไม่หลุด “ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าต้องระบายความกำหนัดครั้งนี้” ซู่เหวินโวยวายไร้สติ ปากพร่ำร้องขอให้ตนสำเร็จโทษฆวยนักรบของตน สร้างความน่าสมเพชแก่ประชาชนทุกคนในบริเวณนั้น เมื่อดิ้นเท่าไรก็ไม่เป็นผล แม่ทัพซู่จึงปล่อยลมปราณพวยพุ่งใส่ทหารทั้งสองที่จับเขาไว้ ส่งผลให้ทหารกระเด็นไปไกล ทหารที่เหลือเห็นดังนั้นแล้วก็ไม่กล้าย่างกายเข้าไป ได้แต่ยืนคุมสถานการณ์ไว้ เมื่อแม่ทัพซู่เป็นอิสระ ก็ทิ้งตัวนั่งคุกเข่าหน้าป้ายบรรพชน ลงมือสาวฆวยอย่างสิ้นสติ อัณฑะพวงใหญ่ไกว่ไปมาตามแรงมือที่รูดฆวยขึ้นลงอย่างเคลือบเคลิ้ม หัวฆวยบานทะโร่สู้แสงตะวันยามวอก ภาพที่เห็นช่างน่าสมเพชเวทนาแทนตระกูลซู่เหลือเกิน บุตรชายคนเดียวของตระกูลมานั่งรูดฆวยสำเร็จความใคร่ต่อหน้าป้ายหลุมศพพ่อแม่ปู่ย่าตายาย น้ำฆวยก็ไหลหยาดเยิ้มเต็มพื้นหลุมศพไปหมด ทุกภาพเหตุการณ์อยู่ในสายตาชองผู้ร่วมงานทุกคนตั้งแต่บุรุษยศใหญ่ไปถึงไพร่ทาส เจ้าของท่อนฆวยดำยังคงไม่ได้สติ เมามันกับการเล่นแท่งฆวยลำนี้-แท่งฆวยใหญ่-ที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพชนจากรุ่นสู่รุ่น ซู่เหวินได้แต่ดูดปากเสียงดังซิ๊ดอยู่เป็นระยะๆ บัดนี้ไม่เหลือสติอันใดให้คิดพิจารณาอีกต่อไปแล้ว เขาต้องการปลดปล่อยความกำหนัดที่มีอยู่อย่างบ้าคลั่งเท่านั้น ความกำหนัดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแม่ทัพใหญ่ตระกูลซู่ และทำสิ่งที่หลายคนรับไม่ได้ นั่นคือการคว้ากระบี่บรรพชนเล่มเดียวกับที่หลี่เฉินใช้ตัดขนอัปรีย์ของเขาเมื่อครั้งก่อน ตรงเข้าเจาะป้ายหลุมศพขึ้นรูปด้วยหินอ่อนสีขาวนวล ซู่เหวินใช้กระบี่ควงเป็นเกลียวโดยรอบ ไม่นานนักหินอ่อนก็ถูกเจาะเป็นรูกลวงขนาดใหญ่ ไม่ทันหายตกใจ ซู่เหวินคว้าท่อนฆวยลำโตสอดเสียบเข้าไปในรูที่ป้ายหลุมศพนั้น และเริ่มโยกสะโพก กระเด้าป้ายบรรพชนอย่างคนเสียสติ หนัง***ถลอกเมื่อครูดไปกับหินอ่อนที่ใช้กระบี่คว้านเป็นรู แต่ซู่เหวินก็ไม่ละความพยายาม ใช้สองมือกอบโกยน้ำหล่อลื่นที่ไหลนองเต็มพื้นขึ้นมาทาลำ***พร้อมกับยัดกลับลงไปในป้ายหินอ่อนอีกครั้ง ผู้คนพากันยืนส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ที่เห็นสายเลือดตระกูลซู่กำลังกระเด้าฆวยเข้าออกป้ายศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพชนของตนอย่างกระหาย แต่ก็มิได้เข้าไปห้ามด้วยเกรงวรยุทธ์ของแม่ทัพใหญ่ ได้แต่ยืนมองด้วยความรังเกียจ ขอให้เหตุการณ์นี้จบลงไวๆ “ท่านพ่อท่านแม่ ข้าเสียวฆวยเหลือเกิน...ท่านปู่ท่านย่า ข้าขอใช้ฆวยที่ข้ารักเคารพพวกท่านในวันนี้…ท่านตาท่านยาย ข้ามีความสุขจริงๆ ข้าชอบความเสียวนี้จริงๆ” ซู่เหวินพูดพร้อมยืนกระเด้าฆวยเข้าออกอย่างไม่ลดละ น้ำหล่อลื่นไหลชะโลมป้ายหินอ่อนจนเงาวับ ซู่เหวินผลักป้ายหินอ่อนล้มลงพร้อมกับเข้าไปนอนกระเด้าอย่างไม่สนใจสายตาที่จ้องมองอยู่ “อู้ยย..โอ้วว..เสียวเหลือเกิน สุขเหลือเกิน” ชายหนุ่มขยับสะโพกขึ้นสุดลงสุด ยามขึ้นมองเห็นฆวยยาวใหญ่ผุบขึ้นจากรูหินพร้อมกับน้ำฆวยที่ไหลยืดตามออกมา ยามลงกดสะโพกสุดแรงเสียงดังฝับๆๆๆ ถ้าไม่ทำอุจาดตาเยี่ยงนี้ นับว่าลีลาทางเพศของท่านแม่ทัพทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ในเขตนั้นเกิดติดใจอยากลิ้มลองได้ไม่ยากนัก ไม่นานนัก แม่ทัพใหญ่เร่งกระเด้าฆวยอย่างไม่ปราณี สองมือยันพื้นไว้ มีเพียงท่อนฆวยที่ขยับเข้าออก เพลานี้ซู่เหวินตกอยู่ในห้วงจินตนาการ พระพักตร์เงยรับแสง แลบลิ้นตวาดไล่เลียอากาศอย่างเย้ายวน มือหนึ่งยกขึ้นมาบี้บดหัวนมใหญ่อย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าขมวดเกร็งดูทรมานแต่มีความสุขไปพร้อมกัน อีกไม่นานความใคร่ของเขาก็จะถูกระบายออกสู่ป้ายบรรพชนแล้ว “ท่านพ่อ...ท่านปู่...ท่านตา ข้าจะปล่อยน้ำออกแล้ว ข้าไม่ไหวแล้ว โอ๊ยยย...ข้า..จะ..แตก.แล้ว” “ท่านแม่...ท่านย่า...ท่านย่า ฟ้าดินเป็นพยาน ข้า-ซู่เหวิน-ขอปล่อยน้ำเสียวใส่หน้าหลุมศพพวกท่านตรงนี้” ไม่ทันชาดคำซู่เหวินก็ถอนฆวยออกจากรูหิน ยืนขึ้นหันหน้าเข้าหลุมศพบรรพชน มือสาวรูดลำฆวยใหญ่ยาวที่บัดนี้มีสีดำทมิฬจนน่ากลัว “ขะ...ข้า ข้าคือเง็กเซียนฮ่องเต้!!! ฮ่าๆๆๆ ฆวยข้าใหญ่ยิ่งกว่าชายในในหล้า น้ำเง็กเซียนจะออกแล้ว น้ำเง็กเซียนจะแตกแล้ว” อยู่ๆ แม่ทัพก็หลุดปากพูดอย่างไร้การควบคุม “น้ำเงี่ยนเซ็กส์ออกมาแล้ววว...ท่านพ่อท่านแม่” ซู่เหวินตะคอกพูดผิดพูดถูก พร้อมกับการล้นทะลักของน้ำฆวยที่พวยพุ่งออกมา ราดรดลงบนหลุมศพของตระกูลเขา สายน้ำเงี่ยนพรมลงบนพื้นอย่างล้นหลาม ไหลแผ่ไปทั่วบริเวณ บัดนี้หลุมฝังศพบรรพชนเลอะไปด้วยน้ำเงี่ยนจากผู้สืบสกุล ป้ายหลุมศพก็ล้มระเนระนาด น้ำหล่อลื่นชะโลมไปทั่วบริเวณ กลิ่นเหม็นคาวน้ำเงี่ยนเริ่มแผ่กระจาย ไม่ทันที่ซู่เหวินจะได้สติก็ถูกทหารจับมัดมือไพร่หลังในสภาพไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด ผู้คนในบริเวณนั้นจำภาพที่เกิดขึ้นได้จนวันตาย สามารถเล่าต่อลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นถึงความอัปยศในวันเคารพบรรพชนของตระกูลซู่ หลี่เฉินยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างพอใจในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น “นี่ยังเป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้นไอ้คุณชายซู่” หลี่เฉินพูดกับตนเองพร้อมฉายแววตาอาฆาต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น