วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สิ้นลาย...ยอดขุนพล 8

ซู่เริ่นยังคงเป็นเครื่องมือสนองความสนุกให้คนงานอย่างต่อเนื่อง บัดนี้ไม่เหลือภาพชายหนุ่มที่เคยหล่อเหล่า ผิวขาวสะอาด เนื้อตัวหอมกรุ่น แต่กลายเป็นชายหนุ่มสกปรก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษขี้เถ้า อีกทั้งยังส่งกลิ่นตัวเหม็นโชยออกมา

“นี่หรอว่ะ คุณหนูเริน องค์ชายสุดที่รักของขุนศึกผู้เกรียงไกร ดูไม่ต่างจากทาสเลยว่ะ” คนงามยืนพูดตรงหน้าซู่เริน

“ถุ้ย ไอ้พวกเศษสวะ ถึงข้าเป็นทาสจริงก็ยังดีกว่าพวกเจ้าในทุกๆ เรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตา กล้ามเนื้อ และเครื่องเพศ ฮ่าๆๆๆ” ซู่เรินถุยน้ำลายใส่หน้าชายตรงหน้า พร้อมเยาะเย้ยชายคนนั้น

“ไอ้สัตว์ มึงภูมิใจในรูปร่างหน้าตามึงมากใช่ไหม? มึงคิดว่ามึงฆวยใหญ่มากนักใช่ไหม?” คนงานโมโห

“ก็ใหญ่และสวยกว่าของพวกเจ้านั่นแหละ ให้ข้าเดา ฆวยพวกเจ้าคงจะดำและสกปรก ขนาดคงเท่าๆ ปลายนิ้วก้อย” ซู่เรินยังคงยั่วโมโหมันต่อไป

“ปากเก่งนักนะมึง กูยอมรับก็ได้ว่าฆวยมึงมันดีจริงๆ เกิดมากูก็ยังไม่เคยเห็นของใครทั้งใหญ่ทั้งยาว อวบตรง สีสวย หัวบาน ได้เท่ากับฆวยของมึง…” คนงานสารภาพ

“พวกเจ้ามันคนชั้นต่ำ อย่าเอาฆวยมาเทียบกับคนชั้นสูงอย่างข้า จำใส่หัวไว้ซะ” ซู่เรินพูดไม่เกรงกลัว

“...โทษฐานที่มึงหยามความเป็นชายของพวกกู มึงดูฆวยสวยที่มึงภาคภูมิใจนัก ภาคภูมิใจหนาเอาไว้ให้ดีๆ มึงจะไม่มีวันได้เห็นภาพฆวยที่มึงรักแบบนี้อีกต่อไป” คนงานพูด ซู่เรินถึงกับหน้าถอดสี

“พวกเจ้าจะทำอะไรกับฆวยของข้า อย่าหวังแม้แต่จะคิด ห้ามยุ่งกับฆวยของข้าเด็ดขาด” ซู่เรินตวาด ในใจเริ่มนึกกลัว

“พวกกูก็จะทำให้มึงหมดความภูมิใจในฆวยที่มึงรักและทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กไง” คนงานตอบ
ไม่นานคนงานหลายคนก็ทะยอยกันเข้ามา พร้อมทั้งวางเม็ดแร่สีสดใสที่ได้จากเหมืองที่พวกเขาทำงานอยู่ พร้อมกับเหล็กแหลมแท่งยาว

“พวกเจ้าหยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าทำอะไรข้าเลย ข้าขอร้อง” ซู่เรินเริ่มใจไม่ได้

“อ้าว เมื่อกี้มึงยังปากดีอยู่เลยนี่หว่า มาร้องขอตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วว่ะ ได้เวลาลงโทษคนปากเก่งแล้ว” คนงานตอบ พร้อมป่าวประกาศข้อความเสียงดังฟังชัด

“พวกเราทั้งหลาย โปรดฟัง เบื้องหน้าทุกท่านคือคุณหนูเริน โอรสรูปหล่อของแม่ทัพซู่เหวิน ขนาดฆวยยามอ่อนวัดได้ยาว 4 นิ้วครึ่ง รอบวง 4 นิ้ว ยามแข็งวัดได้ยาว 7 นิ้วครึ่ง รอบวง 6 นิ้ว ลูกอัณฑะทรงกลมรี ใหญ่เท่าสองไข่นกกระทา เคยมีเส้นหมอยยาวดกดำ แผ่กระจายทั่วโคนฆวย”

“พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกานนนน!!! ปล่อยข้า ปล่อยข้าไปปป!!” ซู่เรินใจไม่ดี ร้องลั่น ดิ้นไปมาอยู่บนไม้กางเขน

“สีฆวยขาวเจือชมพู หัวฆวยแดงสด วัดส่วนปลายหัวฆวยถึงเงี่ยงฆวยได้เท่ากับสองข้อนิ้วหัวแม่มือ และมีเงี่ยงลึกเท่าครึ่งเล็บของนิ้วเดียวกัน ปากฆวยประกบปิดสนิท ลำฆวยตั้งตรง โค้งขึ้นเล็กน้อย เคยผ่านการสมสู่ทั้งกับผู้หญิงและ...ผู้ชายที่เป็นพ่อของตัวเอง” คนงานกล่าวต่อ

“บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอให้ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ ยืนจ้องมองฆวยสวย อันเป็นอวัยวะที่องค์ชายเริ่นภาคภูมิใจและใช้บำเรอความสุขมายาวนาน ก่อนที่จะไม่เหลือภาพนี้ให้จดจำอีกต่อไป” คนงานประกาศลั่น

“ไอ้พวกชั่ว ไอ้เลวระยำ พวกแกจะทำอะไร หือๆๆ อย่านะ ข้าขอร้อง ข้ายอมแล้ว” ซู่เรินร้องขอราวกับคนเสียสติ

“คุณชายเรินไม่ต้องตกใจไปหรอกขอรับ พวกเราจะทำให้ท่านอย่างดีที่สุด” คนงานตอบกลับ พร้อมทั้งเอาผ้ายัดปากคุณชายรูปหล่อ

“อย่าๆๆ ขอ้า-กอัว-แลอ้ว หือๆๆๆ” ซู่เรินร้องไม่เป็นภาษาผ่านผ้าอุดปาก

คนงานเดินไปหยิบเม็ดอัญมลีสีสวย รูปร่างหลากหลายมากมาย ทั้งทรงกลม ทรงรี ทรงสีเหลี่ยม พร้อมเหล็กแหลม ตรงไปที่ฆวยของคุณชายเริ่นสุดหล่อ พระเอกในวงล้อมของคนงานตอนนี้

ซู่เรินมองคนงานเดินเข้ามาช้าๆ ดิ้นๆ ทุรนทุราย ส่ายหน้าไปมา บิดตัวหนีซ้ายขวา แต่ไม่เป็นผล ในที่สุดคนงานก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า

“คุณหนูขอรับ ท่านคงพร้อมจะบอกลาท่อนฆวยลำสวยอันนี้แล้วใช่ไหม?” คนงานพูด

ไม่ทันได คนงานถือเหล็กแหลม แทงเบาๆ ผ่านหนังกลางลำฆวยของคุณชายเริน ที่บัดนี้ก้มมองการกระทำของคนงานต่อฆวยตนเองอยู่ ความเจ็บแทรกซึมไปทั่วจนร่างกายสั่นไม่หยุด

แท่งเหล็กถูกแทงทะลุจากฝั่งหนึ่งถึงฝั่งหนึ่ง ก่อนที่คนงานจะหยิบอัญมลีล้ำค่าจากเหลืองแร่ ยัดใส่รูที่มีเหล็กแหลมเปิดนำร่องอยู่ ฝั่งอัญมลีเม็ดใหญ่ไว้ใต้ผิวหนังของฆวยคุณชาย

“อ้ากกกกกกกกกกกก!!!! ขอ้า-เจอ็บบบบบบ” ซู่เรินร้องลั่นดิ้นน้ำตาไหลพราก

“คุณชายอดทนหน่อยนะขอรับ ฮ่าๆๆๆ รับรองว่าได้ฆวยใหม่สมใจอยากแน่นอนขอรับ” คนงานตอบ

ไม่ช้า คนงานเริ่มแทงเหล็กแหลมเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง และทำเหมือนเดิม คือหยิบแร่งดงามกดฝั่งลงไปบนฆวยของคุณชาย ที่บัดนี้ความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มเปลี่ยนเป็นอาการชาไร้ความรู้สึก

คนงานเห็นคุณหนูแน่นิ่งไปก็ได้ใจ เสียบเหล็กอีกตำแหน่งใต้เส้นสองสลึง ก่อนยัดอัญมลีทรงสี่เหลี่ยมเข้าไป ยกเส้นสองสลึงให้นูนขึ้นจนตึง

“โอ้ยยย...กลายเป็นคุณชายฆวยแปลก ฆวยฝั่งแร่ราคาแพง นี่มันฆวยอัญมลีเลยนะเนี่ย” คนงานร่วมเฮกันสนุกสนาน

คุณชายเรินยังคงถูกคนงานจับฝั่งแร่สีสดเข้าไปเรื่อยๆ กว่ายี่สิบเม็ด จนลำฆวยดูเป็นตะปุ่มตะป่ำดูน่าเกลียดน่ากลัว

“พวกเราดูฆวยคุณหนูตอนนี้สิว่ะ เหมือนฆวยคนเป็นโรคท้าวแสนปมเลยว่ะ ผิวขรุขระยิ่งกว่าผิวผลน้อยหน้าซะอีก” คนงานคนหนึ่งตะโกนบอก

“จับไปตรงไหน หาความเรียบไม่เจอเลย ฆวยอันนี้มันจะยังใช้การได้อยู่ไหมว่ะ? ฮ่าๆๆๆ” คนงานอีกคนเสริม

ขณะที่ซู่เรินอยู่ในภาวะกึ่งมีสติ ภาพเบื้องหน้าพล่ามัว แต่รับรู้ได้ทุกการกระทำที่คนงานทำกับฆวยของเขา ถึงแม้จะชาไปหมดแล้ว แต่จิตใจกลับบอบช้ำยิ่งกว่าสภาพฆวยในตอนนี้เสียอีก

“ท่านควรจะดีใจนะขอรับคุณชาย หากท่านตกต่ำไร้อัฐเงินทอง อย่างน้องท่านก็ยังมีอัญมลีราคาสูงอยู่ในฆวยของท่าน มีทั้งแบบเม็ดกลม แบบเป็นแท่ง ลำพังฆวยแท่งเดียวก็แลกเป็นทองแล้วหลายชั่วหลายตำลึงแล้ว” คนงานชอบใจ

“ไอ้หนังหุ้มปลายนี้คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกแล้ว ข้าว่าตัดออกเสียเถอะขอรับ ฮ่าๆๆๆ” คนงานเริ่มเกมต่อไป

“อย่าทิ้งเสียๆ ก็เสียของหมดสิว่ะ ข้าว่าตัดออกเป็นแฉกๆ สักหกแฉกกำลังดี” คนงานอีกคนเสนอ

เป็นไปตามข้อเสนอ หนังหุ้มปลายถูกดึงยืดออกมาจนบาง มองเห็นเส้นเลือดฝอย ก่อนจะถูกกริชสั้นปาดออกเป็นแฉกๆ เลือดไหลซึม หนังหุ้มปลายที่มีความยืดหยุ่นเมื่อถูกปาดแยกออกจากกัน ก็ม้วนตัวเป็นขดแยกกันไปตามแต่ละแฉก

ทำให้ตอนนี้ส่วนหัวฆวยคุณชายเริน เปิดอ้าออกเต็มที่ และล้อมรอบแล้วขดของหนังหุ้มปลายเป็นก้อนๆ อยู่ล้อมรับเงี่ยงฆวย ทำให้ฆวยดูแปลกประหลาดมากขึ้นไปอีก

“ข้าว่าสีฆวยมันยังสวยกว่าพวกเราอยู่ดีว่ะ ของมันทั้งขาวทั้งชมพูด ไม่ดำเหมือนฆวยพวกเราเลย” คนงานอีกคนเสนอบ้าง

ไม่ช้าน้ำหมึกพร้อมปลายเข็มเจาะถูกเตรียมออกมา น้ำหมึกมีสีสันหลากหลาย ให้สีสดชัดเจน ปลายเข็มถูกจรดลงบนน้ำหมึกสีแดง ก่อนจะถูกนำไปเจาะลงบนปลายฆวยของคุณชายเริน วาดเป็นดวงตาอยู่ล้อมรอบปากรูฆวย คนงานเริ่มบรรจงแต่งเติมลวดลายสีสันลงเป็นฆวยทั้งทั้งลำของซู่เริน ออกมาเป็นศิลปะที่สวยงามไม่ใช่น้อย

สุดท้ายซู่เรินได้ภาพสักลายนกอินทรี ที่กางปีกกว้างสวยงามแผ่อยู่เหนือโคนฆวยทั้งสองข้าง ลำตัวของนกสีดำถูกวางยาวไปตามลำฆวยขนาดใหญ่ ส่วนหัวของพญานกใหญ่อยู่ตรงกับส่วนของหัวฆวยคุณหนู ดวงตาแดงของนกตรงกับปากรูฆวย มองแล้วสวยงามยิ่งหนัก

ฆวยถูกสักเป็นรูปพญานกอินทรีตัวใหญ่ กางปีกน่าเกรงขาม ลำตัวสีดำเมื่อม ประดับด้วยอัญมลีที่ปล่อยแสงสีระยับระยับผ่านหนังฆวยบาง ลำคอนกมีปมหนังหุ้มปลายปกคลุมโดยรอบ ปลายสุดเป็นดวงตาจ้องมองขึ้นเหนือฟ้าตามรูปร่างฆวยที่แอ่นขึ้น

“โห้ ฆวยแม่งโคตรสวยเลยว่ะ แต่ข้าว่าคงไม่มีสาวไหนที่เห็นแล้วไม่ตกใจแน่ๆ” คนงานอุทาน

ซู่เรินเห็นภาพลางๆ นี่ฆวยเขากลายเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมไม่เหลือภาพฆวยที่อยู่คู่กับเขามาตั้งแต่แรกเกิด ฆวยที่เขาใข้เสพสุขหายไปแล้วแล้ว

คนงานยังไม่หยุดการแต่งเติมฆวยให้คุณชาย เพราะไม่นานนักหลังจากสักฆวยเสร็จ คนงานก็เดินไปหยิบแท่นเหล็กทู่อีกอัน แทงเสียบเข้าไปกลางรูฆวยที่ปิดสนิทของชายหนุ่มรูปงาม

“ขยายปากฆวยซะหน่อย เวลาน้ำแตกจะได้ไหลออกมาได้เยอะๆ ฮ่าๆๆ” คนงานกล่าวอย่างสะใจ

“พญานกอินทรีจะได้ลืมตาก็ตอนนี้แหละ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” คนงานอีกคนพูดขณะเปล่งเสียงหัวเราะร่า

“ใส่ปลอกคอให้นกอินทรีซะหน่อยดีไหมว่ะพวกเรา” คนงานเริ่มเสนอความคิด

“ข้าเห็นด้วย สมัยเมืองพวกเรายังสงบ ตอนนั้นการเกษตรยังเจริญ ข้าเลี้ยงแพะไว้ฟูงหนึ่ง และได้เก็บขนตาของพวกมันไว้นานแล้ว เราเอามาติดที่คอหยักของฆวยไอ้คุณชายนี่เถอะ” คนงานออกตัว

ไม่ช้าขนตาแพะเส้นเรียวยาวขนาดไม่ใหญ่แต่เต็มไปด้วยความสากและหยาบ ก็ถูกบรรจงติดเข้าไปรอบคอของนกอินทรี ซึ่งตรงกับเงี่ยงฆวยของคุณชายพอดิบพอดี

“หลังจากนี้ หากมันไปสมสู่กับใคร ขนตาแพะนี้ก็จะครูดไปกับเนื้อร่องสาวหรือร่องตูด จะสร้างความเสียวให้คู่รักของมันได้มาก แต่มันคงจะไม่มีโอกาสได้เย้ดกับใครแล้วล่ะ สภาพฆวยน่าเกลียดซะขนาดนี้” คนงานคนหนึ่งพูด

สุดท้ายคนงานนำเหล็กลนไฟแดงฉาน มีตัวอักษรจีนสองตัว กดประทับไปบนผิวหนังเหนือดกหมอยที่เคยมีอยู่เดิม ตำแหน่งอยู่ใต้สะดือเล็กน้อย อ่านได้ใจความชัดเจนว่า “หลงฆวย”

“ข้าชอบชื่อนี้ว่ะ คุณชายหลงฆวย ฮ่าๆๆๆ” คนงานทุกคนปรบมือ หัวเราะสนุกสนาน

ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานตามปกติ ทิ้งให้ซู่เรินหมดสติค้างอยู่บนไม้กางเขน มีเพียงผ้าปิดส่วนล่างไว้ป้องกันการติดเชื้อระหว่างรอให้แผลหายสนิท
..........................................................................................................................................................
ยามค่ำคืนมาเยือน

เง็กจือแอบลอบออกมาจากกระโจม เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าคนรักที่หมดสติ น้ำตาเง็กจือไหลพราก หัวใจแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี ระหว่างที่ยืนอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงคนเดินออกมาจากพุ่มไม้ด้านหลัง

“นั่นคือใครกัน? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” เง็กจือกล่าวเสียงสั้น มือปาดน้ำตา

ชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากพุ่มไม้ ปรากฏให้เง็กจือเห็นได้ชัดเจน เบื้องหน้าเขาคือชายหนุ่มที่งามเหลือเกิน งามยิ่งกว่ามนุษย์คนไหน งามจนลืมหายใจไปชั่วขณะ ร่างกายมีแสงออร่าเปล่งประกาย เคลื่อนไหวราวกับเหาะเหินเดินอากาศ ชายผมขาวประกายเงินทิ้งยาวปลิ้วตามแรงลม ที่สำคัญหน้าเขาเหมือนซู่เรินราวกับฝาแฝดท้องเดียวกัน

“ไม่ต้องตกใจหรอกนะ พ่อหนุ่ม เรามาดีนะ จะบอกให้” เทพจิ้งจอกเงินสุดหล่อยังมีอารมณ์ขี้เล่น

“ท่านเป็นใคร? มาจากไหน? ต้องการอะไร?” เง็กจือรัวคำถาม

“เราชื่อเอ้าเทียน นี่ไม่ใช่เวลามาตอบคำถาม รีบพาร่างชายคนนั้นลงมาแล้วหนีไปให้ไกลที่สุด” เอ้าเทียนกล่าวอย่างใจเย็น

“หนี? หนีไปไหน? ข้าทำไม่ไหวหรอกท่าน” เง็กจือปฏิเสธ

“แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้างหรือ? ยืนร้องไห้ดูชายตรงหน้าไปแบบนี้หรอ? ตลกเสียจริง” เอ้าเทียนสวน

เง็กจือใคร่ครวญอยู่ไม่นาน ซู่เรินเป็นคนที่เขาแอบชอบ แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรให้ซู่เรินได้เลย ทั้งที่ซู่เรินก็เคยช่วยเขาเมื่อนานมาแล้ว คิดแล้วก็ละอายใจ เกิดแรงฮึดสู้ขึ้นมาทันที

“ท่านช่วยข้านำร่างคุณชายเรินลงจากไม้กางเขนหน่อยเถิด” เง็กจือขอความช่วยเหลือ
ไม่ทันสิ้นเสียง เอ้าเทียนกระโดดฉวัดเฉวียนก่อนปลายเท้าจะลงมาสัมผัสพื้นอย่างแผ่วเบา เชือกที่มัดตัวคุณชายอยู่ก็หลุดล่วงลงมาเป็นเส้นฝอย ก่อนที่เง็กจือจะเข้ามาพยุงร่างคุณชายไว้

“ท่านไปกับข้าได้หรือไม่” เง็กจือถาม

“เจ้ารีบหนีไปให้ไกลก่อนเถอะ เราต้องอยู่รับมือกับสถานการณ์ตรงนี้ก่อน ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น หากคนงานพวกนื้ตื่นมาไม่เจอคนที่ชื่อซู่เริน จะเป็นเรื่องใหญ่ เข้าใจนะ” เอ้าเทียนตอบ

ไม่นานเง็กจือก็ประคองร่างคุณชายเดินโซเซเข้าป่าจนพ้นสายตาของเอ้าเทียน เทพจิ้งจอกเงินหันกับมาที่ไม้กางเขน ก่อนจะแปลงร่างให้ดูกลมกลืนกับมนุษย์ทั่วไป หน้าตารูปร่างคล้ายเป็นซู่เรินทุกประการ จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปพันธนาการตัวเองบนไม้กางเขน

“ผู้ชายที่ชื่อซู่เรินนี่หน้าตาเหมือนเราเลยแฮะ แปลกดีจัง” เอ้าเทียนคิดกับตัวเอง
..........................................................................................................................................................
ยามเช้ามาถึง คนงานรีบตื่นแต่เช้าหวังจะมาดูผลงานที่ทำไว้กับคุณชายเรินเมื่อคืน บ้างก็คิดว่าคุณชายอาจจะตายไปแล้วก็ได้ บ้างก็คือว่าคุณชายคงยังหมดสติอยู่ บ้างก็คิดว่าคุณชายคงกลายเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

แต่ไม่มีใครคิดถูกสักคน เพราะเบื้องหน้าคนงาน คือคุณชายเรินที่ดูปกติ เปลือยกายท่อนบน ท่อนล่างมีผ้าปิดคลุมไว้เหมือนเมื่อวาน

“มาทำงานกันได้แล้วหรอ ตื่นสายจริงๆ ถ้าเราเป็นหัวหน้าพวกเจ้า จะไล่ออกให้หมดเลย” เอ้าเทียนในร่างซู่เรินกล่าวทักทายคนงานอย่างอารมณ์ดี

สร้างความงุนงงให้เหล่าคนงานเป็นอย่างมาก ว่าทำไมซู่เรินจึงฟื้นตัวเร็วมากเช่นนี้ แถมใบหน้ายังดูสดใส ร่างกายก็สะอาดสะอ้าน

“ปากดีอีกแล้วนะไอ้คุณชาย” คนงานคนเดิมกับเมื่องานกล่าว

“เราก็ปากดีแบบนี้แหละ ส่วนเจ้าก็ปากเสียไม่เปลี่ยนเลย” เอ้าเทียนยอกย้อน

“อยากจะโดนอีกใช่ไหมคุณชาย ได้...เดี๋ยวข้าจัดให้ เอาให้ตายไปเลยวันนี้” คนงานเริ่มมีน้ำโห

“โถ้! เหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลา เราก็ถูกแขวนอยู่ที่นี้มาตั้งนานแล้ว หากจะฆ่าให้ตายจริงๆ คงไม่อยู่พูดได้มาถึงทุกวันนี้หรอก จริงไหมละท่าน?” เอ้าเทียนฮัมเพลงไปพลางๆ

“ปากดีอย่างนี้ ขอเอาฆวยยัดปากหน่อยเถอ่ะวะ” คนงานหมดความหมดทน ถอดกางเกงถอกฆวย เตรียมเดินเข้ามาทางคุณชายเริน

“เดินมาอีกก้าวเดียว เราจะกัดลิ้นตัวเองตายตรงนี้แหละ ถึงตอนนั้นข้าว่าเจ้านายใหญ่ของพวกเจ้าคงไม่ปลื้มเป็นแน่ เจ้าคงต้องเตรียมเหตุผลดีๆ ไว้อธิบายกับนายใหญ่อ่ะนะ” เอ้าเทียนต่อรอง

“หน๊อยยย...ไอ้ซู่เรินนนน ไอ้ทาสชั้นต่ำ” คนงานเริ่มลังเล เหมือนสถานการณ์เริ่มผลิกกลับ กลายเป็นซู่เรินถือไพ่เหนือกว่าคนงาน

“อืม....ด่าได้เจ็บปวดเข้าไปถึงขั้วหัวใจเลย! โอ๊ยปวดจิตปวดใจเหลือเกิน! ทนรับแทบไม่ได้แหน่ะ” เอ้าเทียนล้อเลียนคนงาน

คนงานต่างก็ยืนลังเลอยู่ ไม่กล้าเข้าไปทำร้ายซู่เรินเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะกัดลิ้นตายตรงนั้น จึงได้แต่ยืนคุมสถานการณ์ รอเวลาผ่านไปนาน ระหว่างที่ซู่เรินก็ฮัมเพลงไปเรื่อยอย่างสบายใจ
………………………………………………………………………………………………………………………………………….ยามบ่ายมาถึง คนงานยังคงทำอะไรไม่ได้สักอย่าง สถานการณ์แน่นิ่งสนิท เหมือนทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของซู่เรินไปซะหมด จนกระทั่งคนงานเริ่มทนไม่ไหว
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว วันนี้ต้องเอาฆวยยัดปากไอ้สัตว์กวนตีนซู่เรินนี่ให้ได้” คนงานลุกขึ้นฮือ

“อ้าวทนไม่ไหวซะแล้วหรอ? ก็ได้ๆ มาสิ เอาอวัยวะของเจ้ามาใส่ปากเราซะ แต่เราจะบอกให้นะ พวกโง่เขลา พอเจ้ายัดสิ่งนั้นเข้ามาให้ปากเราแล้ว เราจะกัดให้ขาดออกจากกัน ตอนนั้นพวกเจ้าจะทรมาน เลือดไหลไม่หยุด ไม่มีแม้แต่แรงที่จะทำร้ายเราได้อีก” เอ้าเทียนพูดขณะเหลือบตาขึ้นมามองพักหนึ่ง

“หรือต่อให้มีแรงเหลืออยู่ เราก็จะเอาส่วนที่ขาดอยู่ในปากเราเป็นเงื่อนไขให้พวกเจ้ายอมทำตาม มิเช่นนั้นเราก็จะบีบอวัยวะของเจ้าให้แหลกละเอียด จนนำกลับไปต่อไม่ได้ เราพร้อมเดิมพันชีวิตของเรากับอวัยวะเพศของเจ้า เจ้าล่ะ กล้ามาเดิมพันกับเราไหม?” เอ้าเทียนรัวไปชุด จนคนงานยืนนิ่งตาค้าง

“ซู่เหวินกับซู่เรินก็แปลก ถูกคนชั่วใช้เงื่อนไขหนึ่งมาต่อรองเพื่อให้ทำสิ่งที่พวกคนชั่วต้องการ สุดท้ายก็ดันไปยอมทำตามเงื่อนไข โดยไม่ได้สำเหนียงเลยว่ายิ่งทำก็ยิ่งถลำลึก แทนที่จะเป็นปมเดียวให้แก้ง่ายๆ สุดท้ายกลายเป็นปมซับซ้อนแก้ยาก” เอ้าเทียนพึมพำกับตัวเอง

ขณะที่คนงานก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยืนคุมเชิง ไม่มีใครกล้าเข้าไปในอาณาเขตของซู่เรินสักคน คนงานหลายคนก็แปลกใจในท่าทางและการพูดของซู่เริน ที่ไม่ว่าคนงานจะทำอย่างไรก็ต้องผลิกกลับมายอมผู้ชายตรงหน้า ทั้งที่ผ่านมาพวกเขาอยู่เหนือทาสตรงหน้ามาโดยตลอด
 เง็กจือหอบร่างที่ยังไม่ได้สติของซู่เรินหนีเข้าดงป่า ผ่านมาสองวันสองคืน ทะลักทุเลอยู่ไม่น้อย เพราะร่างกายของซู่เรินนั้นกำยำแข็งแรง มีน้ำหนักมาก ทำเอาเง็กจือที่ประคองร่างอยู่เหนื่อยหอบไม่ใช่น้อย

วันที่สามคุณชายเรินเริ่มได้สติฟื้นคืนกลับมา จ้องมองเง็กจือด้วยความสงสัย พยายามประคองร่างตัวเองลุกขึ้น แต่ไร้เรี่ยวแรง

“จะ...เจ้าคือหัวหน้าคนงานที่เหมืองใช่ไหม เจ้าจะพาข้าไปไหน ปล่อยข้านะ” ซู่เรินเริ่มเอะอะ

“องค์ชายเรินอย่าได้วิตก ข้าช่วยท่านหนีมาจากที่นั่นแล้วขอรับ” เง็กจือตอบ

“ช่วยข้า? ช่วยข้าทำไมกัน?” ซู่เรินสงสัย

“นานมาแล้ว ท่านเคยช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ข้าจึงอยากตอบแทนท่านบ้าง” เง็กจือตอบ แต่ไม่กล้าสารภาพรักออกไปได้

“ข้าอยากพักสักหน่อย เจ้าไปหาอะไรให้ข้าดื่มเสียหน่อยเถอะ คอแห้งเหลือเกิน” ซู่เรินตอบ

เง็กจือไม่รอช้า รีบประคองร่างคุณชายให้นั่งอิงกับต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะรีบเดินออกไปเก็บผลไม้ที่อยู่บริเวณนั้น และหาน้ำดื่มมาให้คุณชายที่เขาแอบรัก

เมื่อถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว คุณชายเรินก็ค่อยๆ ตั้งสติ คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก่อนจะค่อยๆ เปิดกางเกงตัวเองออกดู แล้วต้องตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น

“นี่...ข้าไม่ได้ฝันไปจริงๆ ด้วย ฆวยงามของข้าไม่เหลืออีกแล้ว...” ซู่เรินน้ำตาคลอเบ้า

ซู่เรินปาดน้ำตา ปิดกางเกงไว้เหมือนเดิม แล้วมองไปรอบๆ จนจำได้ว่าแถบนี้อยู่ใกล้กับเมืองใหญ่ของเพื่อนที่รู้จักกัน หากเข้าเมืองไปขอความช่วยเหลือ ย่อมดีกว่าอยู่กับเง็กจือที่ยังไม่รู้จักกันเลย แถมไม่น่าไว้ใจ ไม่รู้ว่าจะพาเขาไปไหน จะทรมานเขาอีกหรือไม่ คิดได้อย่างนั้นจึงพยุงตัว ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินทางมุ่งไปยังเมืองที่อยู่ข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซ หายลับไปในป่าใหญ่
เมื่อเง็กจือกลับมาไม่เจอคุณชายเริน ถึงกับยืนอึ้ง จิตใจก็ดับวูบ ปล่อยผลไม้ที่หอบมาร่วงพื้นระเนระนาด น้ำตาเริ่มไหลรินออกมาอาบแก้มแดงทั้งสอง

“คุณชายเรินนนนนนนน ท่านหายไปไหนนนนนน? ท่านอยู่ที่ไหน? หืออออออๆๆ” เง็กจือได้แต่วิ่งอย่างคนบ้า ตะโกนร้องหาคุณชาย แต่กลับไร้เสียงตอบกลับ
..........................................................................................................................................................
หน้าประตูเมืองจางโจว

ซู่เรินพาร่างสะบักสะบอมของตัวเองมาหยุดอยู่หน้าประตูเมือง ทหารเฝ้าประตูรีบเข้ามาประคองร่างที่ใกล้หมดแรง

“ข้ามาพบ “หงเวย” เพื่อนเก่าของข้า ช่วยขะ..ด้ว...” ซู่เรินหมดสติด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนทหารจะรีบพาซูเรินเข้าเมืองไป

ร่างของซู่เรินถูกนำเข้ามาในเรือนรับรองภายใน ก่อนที่กษัตริย์ใหญ่จะเสร็จเข้ามา เบื้องหน้าคือเด็กหนุ่มเหงื่อไหลเต็มตัว แต่พินิจพิเคราะห์ดูหน้าตาแล้วช่างหล่อเหล่าเอาเรื่อง แม้จะมีไรหนวดเคราขึ้นปกปิดใบหน้าอยู่บ้าง มองท่อนบนมีเพียงผ้าคลุมตัวหนึ่ง แต่ก็สามารถมองเห็นได้ชัดว่าใต้ผ้าผืนนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อใหญ่ ท่อนล่างใส่กางเกงเก่าๆ มีเป้ายกนูนสูง

“ชายผู้นี้เป็นใครกันหรือ?” กษัตริย์ใหญ่ถามทหาร

“เรียนท่านหงฟู่ ข้าน้อยมิทราบขอรับ เขาบอกเพียงว่าเป็นเพื่อนเก่ากับท่านหงเวย แต่บัดนี้ท่านหงเวยเดินทางไปร่วมคัดเลือกราชโอรสที่แคว้นต้าเหลียน พวกข้าจึงพาชายคนนี้มาพบท่านแทนขอรับ” ทหารรีบรายงาน

“เป็นเพื่อนกับลูกชายข้าหรือ? หรือว่านี่จะเป็น....?” นายใหญ่จ้องมองใบหน้าของซู่เรินที่หมดสติ ก่อนจะรีบสั่งให้ทหารในเรือนออกไปให้หมด

“เป็นซู่เรินจริงๆ หรือเนี่ย? ไม่คิดเลยว่าลูกชายคนโตของซู่เหวินจะอยู่ในสภาพเช่นนี้” หงฟู่คิดในใจ

จริงๆ หงฟู่กับซู่เหวินนั้นก็รู้จักกันมานาน หากซู่เหวินเป็นเลิศด้านการศึก หงฟู่เองก็จัดว่าเป็นเลิศด้านการค้า เมืองจางโจวนับว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยมั่งคั่งลำดับต้นๆ แคว้นต้าเหลียนเองก็สั่งอาวุธจากเมืองจางโจวอยู่บ่อยครั้ง เมื่อซู่เหวินและหงฟู่มีลูกชาย ก็ส่งเข้าร่ำเรียนที่สำนักเดียวกัน สองครอบครัวนี้จึงสนิทสนมกันดี

เมื่อมีอันจะกิน จึงไม่แปลกที่หงฟู่จะกลายเป็นชายแก่ หัวล้าน รูปร่างอ้วนท้วม พุงโต ทุกอย่างดูตรงข้ามกับแม่ทัพซู่เหวินที่หล่อเหล่า รูปร่างดี แม้จะมีอายุไล่เลี่ยกันก็ตาม

ความแตกต่างในภาพลักษณ์ของหงฟู่กับซู่เหวิน ถูกเก็บมาเป็นปมในใจของหงฟู่อยู่นาน เบื้องลึกในใจของหงฟู่เองก็รู้สึกอิจฉาซู่เหวินที่ไม่มีชายคนใดเทียบได้ หากให้สตรีในโลกนี้เลือกระหว่างเขากับแม่ทัพซู่เหวิน เขาก็คงแพ้ราบคาบอย่างไม่ต้องสงสัย

“โชคเข้าข้างข้าก็วันนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกิน แก้แค้นคนพ่อไม่ได้ อย่างน้อยลงที่ลูกชายสุดหล่อของมันก็ยังดี” หงฟู่มองซู่เริน และยิ้มอย่างมีเลศนัย
..........................................................................................................................................................
เมืองเหอเป่ย

เอ้าเทียนยังคงปลอดภัยอยู่บนเสาไม้กางเกง จริงอยู่ที่เทพอย่างเขาจะปลดพันธนาการและเป็นอิสระจากสถานการณ์ตรงหน้าได้เพียงเสี้ยววินาที แต่เขาก็ยอมถูกมัดอยู่บนนั้นอยู่หลายวัน เพื่อให้คนงานไม่สงสัย และถ่วงเวลาให้ซู่เรินตัวจริงหนีไปได้ไกลจากเมืองเหอเป่ยเสียก่อน

“นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ซู่เรินคงหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้วสินะ” จิ้งจอกเงินเอ้าเทียนพูด

“เมื่อกี้เจ้าบ่นอะไร ไอ้ทาสซู่เริน” คนงานที่อยู่รอบๆ ด่า

“คำก็ทาส สองคำก็ทาส พวกท่านเป็นอะไรกันมากไหมเนี่ย?” เอ้าเทียนพูดอย่างสบายใจ

“พวกกูเป็นนายของมึง เรียกมึงว่าทาสก็ถูกต้องแล้วไงว่ะ” คนงานเถียง

“อย่างแรกนะ ท่านคงสับสนระหว่างคำว่า “เจ้านาย” กับ “ผู้ทรมาน” อย่างพวกท่าน เราให้ได้มากสุดเป็นแค่ผู้ทรมานเท่านั้นแหละ” ซู่เรินถอนหายใจ
 “อย่างที่สอง...ปากก็บอกว่าเป็นเจ้านาย แต่ทำอะไรเรามิได้สักอย่าง ทรมานทางกายก็ไม่มี ทรมานทางใจก็ว่างเปล่า ลองใคร่ครวญดูเอาเถอะท่านทั้งหลาย” เอ้าเทียนพูดต่อ

คนงานถึงกับโมโหควันออกหู เลือดขึ้นหน้า จริงอย่างที่ซู่เรินพูด พวกเขาทำอะไรผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลย แม้เส้นขนสักเส้นยังไม่อาจเข้าไปสัมผัสผิวกายของซู่เรินได้ จะตะโกนด่าทอต่างๆ นานา ก็ไม่สะทกสะท้าน กลับกลายเป็นพวกเขาเองที่โดนยอกย้อนกลับมาให้เจ็บปวดใจ

“เราว่าถึงเวลาแล้วล่ะ จะได้ยืดเส้นยืดสายเส้นที เมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว อีกอย่างงานเลือกราชโอรสก็ใกล้เข้ามาแล้ว เห็นทีเราต้องไปจากที่นี่ได้แล้ว” เอ้าเทียนพูด

คนงานก็ได้แต่ยืนงง ฟังในสิ่งที่เอ้าเทียนพูดอย่างไม่เข้าใจ จู่ๆ เง็กจือก็ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางคนงาน ทำให้เอ้าเทียนต้องหยุดความคิดที่จะใช้วรยุทธ์เข้าตัดเชือกที่มัดเขาอยู่ แล้วรอดูสถานการณ์

“ท่านหายไปไหนมาตั้งหลายวัน เง็กจือ? พวกข้าเป็นห่วงแทบแย่” คนงานร้องทัก

“ข้าขอโทษด้วยที่หายไปเฉยๆ พอดีหลี่เฉินเรียกพบข้ากะทันหัน จึงไม่มีเวลาบอกลาพวกเจ้า” เง็กจือตอบ

“หลี่เฉินเรียกพบท่านหรือ? มีการอันใดสำคัญหรือเปล่า?” คนงานถาม

“อีกไม่นาน แคว้นต้าเหลียนจะมีพิธีคัดเลือกราชโอรสเพื่ออภิเสกสมรสกับบุตรสาวแม่ทัพ หลี่เฉินต้องการให้ปล่อยซู่เรินเป็นอิสระ และเดินทางไปยังเมืองต้าเหลียนทันที” เง็กจือกล่าว

เมื่อเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา คนงานจึงไม่มีทางเลือก แม้จะโกรธแค้นซู่เรินแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมให้ซู่เรินเป็นอิสระลงมาจากเสาไม้ ปล่อยให้ซู่เรินกับเง็กจือยืนคุยกันสองคน

“ท่านเคยช่วยข้าหนีไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ข้ากลับมาช่วยท่านแล้ว ถือว่าเราหายกันนะ” เง็กจือพูดเบาๆ กับเอ้าเทียนโดยไม่มองหน้า เพราะจะยิ่งทำให้เขานึกถึงหน้าของซู่เริน

“แล้วซู่เรินหายไปไหนซะแล้วล่ะท่าน?” เอ้าเทียนถามอย่างสงสัย
“ขะ...เขา หายไประหว่างข้าออกไปกินผลไม้ ข้าตามหาเท่าไรก็ไม่พบ” เง็กจือตอบเสียงสั่น น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรนะ ท่านอย่าพึ่งคิดมากไป ผ่านมาหลายวันแล้ว ซู่เรินคงมีกำลังขึ้นมาบ้าง เราเชื่อว่าซู่เรินดูแลตัวเองได้ อย่างไรเสียเราจะช่วยตามหาอีกทาง แต่ตอนนี้ขอไปแก้ปัญหาให้แม่ทัพซู่
เหวินก่อนนะ” เอ้าเทียนพูดให้กำลังใจเง็กจือ

“ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก นี่เราต้องไปตามแก้ปัญหาให้มนุษย์ตระกลูซู่ทุกครั้งเลยใช่ไหมเนี่ย?” เอ้าเทียนคิดในใจ ส่วนหนึ่งที่ช่วยก็เพราะอยากรู้ต้นกำเนิดของตัวเองว่าเป็นใคร เหตุใดซู่เรินกับเขาจึงหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ

ก่อนที่เอ้าเทียนจะวิ่งหายเข้าป่าไปอย่างว่องไว ทิ้งให้เง็กจือยืนอยู่เบื้องหลังอย่างมีความหวังว่าจะได้พบกับซู่เรินอีกสักครั้ง แล้วครั้งนั้นเขาจะรีบสารภาพรักกับซู่เรินทันที ไม่ให้เหมือนครั้งนี้ที่มีโอกาสแต่กลับไม่พูดความในใจออกไป

“พวกเราทั้งหลาย ข้าว่าช่วงเวลาสงบเช่นนี้ พวกเราควรมาช่วยกันพัฒนาเมืองเหอเป่ยของเรา ที่นี่มีเหมืองแร่ชั้นดี พื้นที่ก็กว้างขวางอุดมสมบูรณ์ หากพวกเราช่วยกัน ข้าเชื่อว่าเมืองเหอเป่ยจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง” หลี่เฉินประกาศกับคนงาน สร้างเสียงเฮถูกใจจากคนงานได้มาก
..........................................................................................................................................................
เมืองต้าเหลียน

เอ้าเทียนวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกำแพงเมือง ก่อนจะยืนไชว่เท้าและใช้ศอกอิงกับกำแพงเพื่อพักเหนื่อยสักครู่  ใจหนึ่งก็นึกเป็นห่วงซู่เริน อีกใจหนึ่งก็ห่วงแม่ทัพซู่เหวิน แต่เมื่อคิดดูแล้ว งานคัดเลือกมีกำหนดชัดเจน หากไปช่วยซู่เรินก่อน คงหมดทางช่วยซู่เหวินเป็นแน่

“ว่าแต่...เราจะแปลงกายเป็นอย่างไรดีนะ? นึกไม่ออกจริงๆ” เอ้าเทียนพูดอย่างไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์มากนัก

“เสียเวลานึกจริงๆ เอางี้แล้วกัน หากร่างปกติของเราเป็นภาพลักษณ์ดั่งเดิม งั้นภาพลักษณ์ใหม่ก็เหลือสักประมาณหนึ่งในสี่ก็แล้วกัน” เอ้าเทียนบ่นกับตัวเอง

ว่าแล้วก็สะบัดภาพคลุมแวบเดียวเท่านั้น ก็กลายเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีแสงออร่าเปล่งประกายออกมาเหมือนร่างที่แท้จริง ก่อนจะพาร่างแปลงที่เหลือประมาณหนึ่งในสี่ของร่างจริงเดินเข้ากำแพงเมืองไป

ระหว่างที่เดินอยู่นั้น เอ้าเทียนสังเกตุเห็นว่าสาวๆ ในเมือง มองมาที่เขาแล้วก็กระซิบพูดคุยอะไรกัน บ้างก็มองแล้วหน้าแดง เอ้าเทียนเกิดความสงสัยจึงใช้หูทิพย์ฟังข้อความที่สาวๆ คุยกัน

“เธอๆ ดูคุณชายรูปงามคนนั้นสิ งามเหลือเกิน งามไปทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า งามอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน” สาวคนหนึ่งพูดกับเพื่อนอีกคน

“จริงๆ ด้วย ดูหน้าคุณชายสิเธอ หล่อเหลาเหลือเกิน ดวงตาก็กลมสวยเหมือนแววตาของเด็กแรกเกิด จมูกก็โด่งคม ปากก็...น่าจุมพิศจริงๆ” เพื่อนอีกคนตอบ

“พวกเจ้าๆๆ เห็นคนหนุ่มตรงนั้นไหม คนอะไรเกิดมาได้หล่อขนาดนี้ หล่อราวกับเทพบุตร รูปร่างก็ดี หาที่ติไม่ได้สักจุด สงสัยจะมาเข้าร่วมคัดเลือกราชโอรสเป็นแน่ โอ๊ยย คิดแล้วอยากเป็นเจ้าสาวแทน” สตรีอีกกลุ่มยืนคุยกัน มองมาทางเอ้าเทียน

“สตรีพวกนี้เป็นอะไรกัน เราไม่เห็นว่าร่างนี้จะน่าสนใจตรงไหนเลย” เอ้าเทียนคิด

เขาไม่รู้ตัวหรอก ว่าเขาเป็นคนที่หล่อและมีเสน่ห์เหลือหลาย ตั้งแต่เขาเกิดมาก็หน้าตาประมาณนี้จึงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองน่าสนใจตรงไหน ตรงกันข้ามกับผู้พบเห็นที่ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในภวังค์เสน่หา

เอ้าเทียนเดินตรงเข้าเมืองไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดลงชื่อผู้เข้าร่วมคัดเลือก มองเห็นผู้คนมากมายในบริเวณนั้น มีทั้งกลุ่มองค์ชายน้อยใหญ่จากต่างเมืองมากมาย มีองครักษ์ผู้ติดตาม เอ้าเทียนไม่ได้สนใจมากนัก เดินตรงเข้าไปลงชื่อทันที

“มีเจ้าชายมาสมัครเกือบห้าสิบคนเชียวหรือ?” เอ้าเทียนคิดในใจขณะกำลังลงชื่อของตน
..........................................................................................................................................................
ในคุกใต้ดิน
ตั้งแต่แม่ทัพซู่เหวินขับพิษแมงมุมออกจากหมด ก็ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินลับ ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน มีเพียงอาหารและน้ำที่จัดส่งให้ประทังชิวิตไปวันๆ ไม่รู้ว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร
ตอนนี้ใบหน้าแม่ทัพซู่เหวินมีแต่หนวดเครายาวปกคลุมใบหน้า เนื้อตัวสกปรกมีแต่คราบและกลิ่นน้ำกามและน้ำปัสสาวะ นอนก่ายหน้าผาก เปลื่อยเปล่าอยู่บนกองฟางในคุก
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ขณะเดียวกันซู่เรินก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากหงฟู่ จนเริ่มได้สติฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ เปลือกตาซู่เรินค่อยๆ ลืมขึ้น จนเห็นชายแก่ร่างท้วมตรงหน้า นั่งอยู่ขอบเตียง

“ท่านคือหงฟู่ พ่อของหงเวยใช่หรือไม่? ข้าคือซู่เรินเพื่อนสนิทของหงเวย ท่านลุงจำข้าได้ไหม” ซู่เรินทักเสียงแหบ

“ลุงจำได้สิ เจ้าคือซู่เริน ลูกชายแม่ทัพซู่เหวินเพื่อนรักของข้า ข้าจำได้ดีเชียวละ” ชายอ้วนตอบ

“เจ้าฟื้นแล้วก็ดี ไปแช่บ่อหน้าอุ่นกับข้าเถอะ จะได้สบายตัว” หงฟู่เอ่ยต่อ

ทหารสองนายถูกเรียกเข้ามาในห้องพักเพื่อประคองร่างซู่เรินให้ลุกขึ้นแล้วไปยังบ่อน้ำอุ่นที่จัดเตรียมไว้ในห้องอาบน้ำของหงฟู่ เมื่อมาถึงทหารทั้งสองก็ออกไป ทิ้งให้หงฟู่อยู่กับซู่เรินตามลำพัง ชายแก่ปลดเสื้อผ้าจนหมดก่อนลงไปแช่ตัวในน้ำอย่างสบายใจ

“เจ้ารออะไรเล่า รีบลงมาแช่ตัวกับข้าสิ บ่อน้ำนี้แช่แล้วสบายตัวมากนะ” หงฟู่พูด

ซู่เรินก็ทำตามคำสั่ง ค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมออกจากส่วนบน ชายแก่มองอย่างตั้งใจ เห็นแผงอกใหญ่ พร้อมหัวนมสีชมพูของเพื่อนลูกชาย ไล่ออกมาเป็นกล้ามท้องที่คนอ้วนอย่างเขาไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ ใต้สะดือเป็นไรขนดำขึ้นเป็นแนวสวย พร้อมข้อความว่า “หลงฆวย”

“หลานข้า เหตุใดเจ้าจึงประทับความว่าหลงฆวยไว้ตรงนั้นเล่า?” ชายแก่เอ่ยปากถาม

“ขะ..ข้า คือข้า....” ซู่เรินอ้ำอึง รีบเอาเสื้อคลุมมาปิดใต้กล้ามท้องทันที

“ข้ารู้ที่แท้เจ้าก็เป็นพวกวิปริต ไม่ชอบสตรี แต่กลับไปชอบแท่งฆวยของผู้ชายด้วยกันเองสินะ” หงฟู่เริ่มถากถาง

ไม่ช้าทหารสองนายที่รออยู่ข้างนอก ก็ถูกเรียกตัวเขามา จับล็อคแขนซ้ายขวาขององค์ชายซู่เรินที่เปลือยท่อนบนอยู่ แล้วก้มให้คุกเข่าลงไปข้างบ่อน้ำที่ชายแก่กำลังแข่อย่างมีความสุข

“ท่านลุง ท่านจะทำอะไรข้า ข้าเป็นเพื่อนกับลูกชายท่านนะ!!!!” ซู่เรินตะคอกใส่

“ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นลูกของแม่ทัพใหญ่ซู่เหวิน แล้วเจ้ารู้อะไรไหม? คนอย่างข้าเทียบอะไรกับ
ซู่เหวินไม่ได้สักอย่าง ข้านึกอิจฉาทั้งพ่อและลูกตระกูลซู่มาโดยตลอด วันนี้อย่างน้อย ข้าจะได้อยู่เหนือกว่าลูกชายของแม่ทัพซู่แล้ว ถือว่าเจ้ามันซวยที่เกิดมาเป็นลูกซู่เหวินเองนะ” หงฟู่กล่าว

ทันใดนั้นทหารก็ตรงเข้าฉีกกางเกงของซู่เรินออก คนทั้งสามในห้องอาบน้ำถึงกับตาค้างในภาพที่เห็น ตกใจเสียยิ่งว่าเห็นคำว่าหลงฆวยบนหน้าท้องส่วนล้างขององค์เสียอีก เพราะภาพที่เห็นคือเครื่องเพศรูปร่างน่ากลัว ลำฆวยมีแต่ปุ่มนูนกระจายอยู่ทั่ว แถมยังสักฆวยเป็นรูปนกอินทรีสีดำสนิท เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน

“ฮ่าๆๆๆ เจ้ามันพวกอัปรีย์จังไรจริงๆ ด้วย เล่นพิเรนทร์กับฆวยขนาดนี้ ข้าเชื้อแล้วว่าเจ้าหลงฆวยจริงๆ ฮ่าๆๆๆ ดีๆ อย่างนี้ข้าชอบ เจ้าคงทำเงินให้ข้าได้มากโข” ชายอ้วนพูดอย่างมีความสุขที่สุด

“ท่านลุงจะทำอะไรข้า ปล่อยข้าเถอะ ข้าทำเงินอะไรให้ท่านไม่ได้หรอก” ซู่เรินดิ้นแต่ไม่หลุดจากทหารทั้งสอง

“เจ้ารู้ไหมว่าสาเหตุที่เมืองนี้ร่ำรวยเงินทอง ไม่ได้มาจากแค่การค้าขายอาวุธเท่านั้นนะ เบื้องหลังข้าเปิด “สมรภูมิเผยกาม” ให้คนมีเงินทั้งหลายเข้ามาชมเด็กหนุ่มในสังกัดของข้า มีทั้งคนใหญ่คนโตในบ้านเมือง มีจอหงวนระดับหัวกะทิของประเทศ มีขุนนางไพร่ฟ้ามากมายที่เป็นลูกค้าของข้า” หงฟู่พูดขณะแช่น้ำร้อนอย่างสบายใจ

“เด็กในความดูแลของข้าไม่มีใครหล่อหุ่นดีเทียบเจ้าได้สักคน เป็นถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทัพซู่ แถมฆวยก็ยังแปลกประหลาด น่าสนใจไม่น้อย แค่นี้ก็ดึงลูกค้าให้ข้าได้เยอะแล้ว” ชายแก่กล่าวต่อ

“ปล่อยข้าๆๆๆ ไอ้พวกชั่ว ข้าจะฆ่าพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องตกนรก” ซู่เรินร้องโวยวาย

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเจออะไรเลวร้ายมาบ้าง แต่ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเองว่านรกจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร ฮ่าๆๆๆ วันนี้ข้ามีความสุขเหลือเกิน” หงฟู่พูด

เง็กจือ-ที่กำลังพัคิด ห่วงหาและเฝ้ารอซู่เริน
ซู่เริน-ที่กำลังตกอยู่ในน้ำมือของหงฟู่โรคจิต พ่อของหงเวย
หงเวย-ที่กำลังร่วมงานคัดเลือกในเมืองของซู่เริน ที่คุมขังซู่เหวิน
ซู่เหวิน-ที่กำลังถูกจองจำอยู่ในคุกของเมืองตนเองจากคำสั่งของหลี่เฉิน
หลี่เฉิน-ที่กำลังจะใช้ราชบุตรต่างเมืองมาทรมานแม่ทัพซู่ตามแผนมเหสี
มเหสี-ที่กำลังรอสนุกกับการได้ผู้ชายหล่อหลายคนเป็นของเล่น ภายใต้คำสั่งของนายใหญ่
นายใหญ่-ที่กำลังปล่อยให้แผนการดำเนินไปเพื่อความยิ่งใหญ่ในอนาคต
----อนาคตที่เอ้าเทียนก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือคนเดียวไหวหรือไม่----

ไม่มีความคิดเห็น:

เด็กหอ 8 CP

มื่อกานต์เก็บของจากห้องตัวเองเสร็จ จึงมาหาอาจารย์ภัทรที่ห้อง ส่วนภัทรอาบน้ำทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อย ควยของภัทรแข็งรอกานต์อยู่นานแล้ว &...