เคารพบรรพชน ยามราตรีค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มรูปงามนอนก่ายหน้าผาก ในใจล้วนคิดถึงเหตุการณ์อันน่าอดสูของวันนี้ ก่อนจะแสดงสีหน้าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่ายามดวงสุริยันโผล่พ้นขึ้นขอบฟ้าวันพรุ่งนี้ คือวันเคารพบรรพชนที่ลูกหลานตระกูลซู่ทำกันมาช้านาน แน่นอนว่างานพิธีใหญ่เช่นนี้กินเวลายาวนานคลอบคลุมยามวอกด้วย ชายหนุ่มได้แต่คิดกังวลจนเผลอหลับไปด้วยความเพลีย ยามเช้าของวันใหม่เริ่มขึ้น ซู่เหวินมิได้สดชื่นเหมือนแต่ก่อน บัดนี้ดวงพักตร์ของชายน้ำถูกประดับด้วยไรหนวดเขียวคลึม ขับส่งใบหน้าชายหนุ่มให้คมเข้มน่ามอง ผิวกายคลำขึ้นจากการยืนสาวฆวยเมื่อวานที่ผ่านมา ขนหมอยที่ติดบนหัวเริ่มหลุดลอกออกบ้างเป็นหย่อมๆ ขณะที่ขนหมอยที่ฆวยเริ่มผุดขึ้นเป็นตอ สร้างความคันยุบยิบแก่ขุนศึกอย่างมาก “ฝ่าบาทตื่นแล้วหรือพะยะค่ะ ข้าได้เตรียมอาภรณ์สำหรับใส่ไปร่วมงานเคารพบรรพชนให้ท่านเรียบร้อยแล้ว รับรองท่านต้องพอใจ” หลี่เฉินพูดพร้อมผลักบานประตูเข้ามาอย่างไม่แยแส พร้อมกับกล่องไม้บรรจุเสื้อผ้าสำหรับซู่เหวินไว้ แม่ทัพซู่เปิดกล่องไม้ออกก็พบชุดไหมทองคำที่ดูงดงามยิ่งนัก แต่พอหยิบขึ้นสวมใส่ กลับพบว่าเส้นไหมทองคำเหล่านี้บางละเอียดแต่แนบสนิทติดกับผิวกายของเค้าได้ดี ดีจนเผยทุกสัดส่วน ตัวเสื้อแสดงกล้ามอก กล้ามท้อง ได้อย่างงดงาม ตัวกางเกงสั้นเหนือเข่าแสดงเค้าโครงร่างซู่น้อยใต้หว่างขาได้อย่างชัดเจน “แล้วเสื้อนอกกับชุดคลุมข้าเล่าอยู่แห่งใด?” ซู่เหวินกัดฟันถามหลี่เฉินอย่างใจเย็น “ชุดของท่านมีเพียงเท่านี้ หากขอมากกว่านี้ เห็นทีข้าคงให้ยาถอนพิษแก่ท่านไม่ได้” หลี่เฉินกล่าวอย่างสบายใจ ซู่เหวินเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะต่อรองกับหลี่เฉิน จึงยอมฉลองพระองค์แต่เพียงเท่านี้แม้อย่างไม่เต็มใจ เมื่อก้าวพ้นขอบประตู แม่ทัพกลายเป็นจุดสนใจขึ้นในหมู่ทหารอย่างฉับพลัน ด้วยการแต่งกายที่มีเพียงเส้นใยสีทองเคลือบร่างอยู่ แต่มิอาจปกปิดรูปร่างสัดส่วนใดๆ ได้เลย โดยเฉพาะท่อนฆวยที่ประจักษ์แก่สายตาทหารกล้ามาแล้วเมื่อวานนี้ แม่ทัพไม่แสดงความสนใจรีบก้าวขึ้นเกี่ยวรับเสด็จแล้วปิดม่านลงทันทีที่สั่งให้เคลื่อนขบวนเดินทางมุ่งหน้าสู่หลุมศพบรรพชน ณ หลุมศพบรรพชน มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในลานโล่งแจ้ง บัดนี้ขบวนเสด็จของซู่เหวินเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว ม่านถูกแหวกออก พร้อมกับการเยื้องย่างอย่างสง่าของโอรสสวรรค์ งดงามราวเทพบุตร ดูน่าชมไปเสียหมด เว้นเสียแต่ชุดที่แปลกประหลาดพอๆ กับทรงผม และไรหนวดที่ขึ้นไล่เป็นเคราเขียว ผู้คนเริ่มซุบซิบนินทาถึงความไม่ปกติของท่านแม่ทัพในครานี้ แต่แม่ทัพกลับไม่สนใจเดินตรงไปนั้นในเก้าอี้ประธานหน้าหลุมศพบรรพชนของเขา งานนี้เต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต ขุนนาง ข้าราชบริภาร นายทหารใหญ่ องค์รักษ์ฮ่องเต้ อีกทั้งชนชั้นชาวบ้าน ไพร่ทาส ก็มาร่วมงานอย่างครึกครื้น ทุกคนล้วนซาบซึ้งและให้ความสำคัญกับตระกูลซู่ผู้ปกปักษ์รักษาดินแดนในอาณาบริเวณนี้มาช้านาน บรรพบุรุษตระกูลซู่ได้รับความเคารพเลื่อมใสแก่ผู้คนทั่วทุกเขตแคว้น ปัจจุบันบุตรชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลซู่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีไม่บกพร่องเฉกเช่นบรรพบุรุษ ซู่เหวินเป็นยอดขุนพลที่สร้างความดีความชอบให้แก่ฮ่องเต้จนมอบตำแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งให้ ถือว่ามีอำนาจรองจากฮ่องเต้เหนือหัวเลยก็ว่าได้ มาปีนี้ซู่เหวินกลับรู้สึกอยากให้งานนี้จบไวๆ ก่อนยามวอกได้ยิ่งดี แต่สถาณการณ์ดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่หวัง เพราะผู้คนล้นหลามต่างเข้าไปไหว้ป้ายบรรพบุรุษตระกูลซู่อย่างคับคั่ง ควันธูปล่องลอยเป็นกลุ่มหนา ช่วงเวลาผ่านไปนานจนใกล้ยามวอกขึ้นทุกที ลำฆวยเขาเริ่มพองโตขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่จำนวนคนกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย “เพลานี้ถือเป็นมงคลยิ่งนัก ขอเชิญท่านแม่ทัพเหวินเข้าเคารพบรรพชนตระกูลซู่ขอรับ” อยู่ๆ หลี่เฉินก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับป่าวประกาศก้องได้ยินทั่วทั้งงาน เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซู่เหวินตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากแม้นนั่งอยู่ตรงนี้ก็จะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย หากแม้นลุกยืนขึ้นก็จะเผยสัดส่วนชายหนุ่มที่ฆวยขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เม็ดเหงื่อเริ่มผุดทั่วร่างกาย ความร้อนผ่าวๆ จากภายในเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาต้องเร่งระบายพิษออกจากท่อนฆวยของตนก่อนพ้นยามวอกนี้ไป “ท่านแม่ทัพซู่ โปรดให้เกียรติเคารพป้ายหลุมศพบรรพชนด้วยเถิด” นายกองชิงฟู่-องครักษ์ของฮ่องเต้เอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าแม่ทัพซู่ยังไม่ลุกจากที่นั่งของตนเสียที ซู่เหวินได้แต่สูดหายใจลึกๆ แล้วลุกยืนขึ้น สร้างความฮือฮาไม่น้อยเมื่อท่อนฆวยของเขาแข็งตัวเต็มที่ดันชุดไหมทองออกมาอย่างชัดเชน แม้แต่ไข่ทั้งพวงของเข้ายังมิอาจเล็ดลอดสายตาของคนในงานได้ สตรีบางคนรีบปิดตาลูกเล็กเด็กแดง แต่สายตาตนยังคงจ้องมองท่อนลำของบุตรชายตระกูลซู่อย่างตกตะลึงในความใหญ่และยาวเหนือบุรุษใดๆ ปานจะกลืนกินให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แม่ทัพซู่กำลังถูกพิษแมงมุมเข้าเล่นงานอีกครั้ง ความกำหนัดพึ่งทะยานสูง พร้อมกับความร้อนจากท่อนฆวยที่ผงกหัวขึ้นลงอย่างเสียวซ๋าน ซู่เหวินรู้ดีว่าหากเขาไม่รีบปลดปล่อยน้ำรักออกมา เขาจะตายในไม่ช้า แผ่นเดินต้าเหลียนจะไร้ผู้ปกครอง เหล่าทหารจะไร้ที่พึ่ง ที่สำคัญความแค้นของเข้ายังไม่ได้ชำระ “ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอโทษ” ทันทีที่ความคิดจบลง ซู่เหวินก็กระชากชุดไหมทองแนบเนื้อออกจากกาย ยืนเปลือยเปล่าหน้าหลุมศพบรรพชน หัว***กระดกขึ้นลงอย่างอิสระราวกับกำลังทักทายบรรพบุรุษตระกูลซู่ที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้คนในงานยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุใดโอรสสวรรค์ผู้นี้จึงกระทำการน่าอับอายต่อหน้าผู้คนได้ขนาดนี้ “ทหาร!!! จับแม่ทัพซู่เหวินใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้” องค์รักษ์ชิงฟู่ร้องขึ้นทันที ทหารนับสิบตรงเข้าจับแม่ทัพซู่ แต่ไม่ทันไรก็ถูกแม่ทัพซู่ทุ่มกระเด็นออกจากบริเวณหลุมศพบรรพชน เหลือเพียงสองทหารที่เข้าจับแม่ทัพซู่จากด้านหลัง จนแม่ทัพดิ้นไม่หลุด “ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าต้องระบายความกำหนัดครั้งนี้” ซู่เหวินโวยวายไร้สติ ปากพร่ำร้องขอให้ตนสำเร็จโทษฆวยนักรบของตน สร้างความน่าสมเพชแก่ประชาชนทุกคนในบริเวณนั้น เมื่อดิ้นเท่าไรก็ไม่เป็นผล แม่ทัพซู่จึงปล่อยลมปราณพวยพุ่งใส่ทหารทั้งสองที่จับเขาไว้ ส่งผลให้ทหารกระเด็นไปไกล ทหารที่เหลือเห็นดังนั้นแล้วก็ไม่กล้าย่างกายเข้าไป ได้แต่ยืนคุมสถานการณ์ไว้ เมื่อแม่ทัพซู่เป็นอิสระ ก็ทิ้งตัวนั่งคุกเข่าหน้าป้ายบรรพชน ลงมือสาวฆวยอย่างสิ้นสติ อัณฑะพวงใหญ่ไกว่ไปมาตามแรงมือที่รูดฆวยขึ้นลงอย่างเคลือบเคลิ้ม หัวฆวยบานทะโร่สู้แสงตะวันยามวอก ภาพที่เห็นช่างน่าสมเพชเวทนาแทนตระกูลซู่เหลือเกิน บุตรชายคนเดียวของตระกูลมานั่งรูดฆวยสำเร็จความใคร่ต่อหน้าป้ายหลุมศพพ่อแม่ปู่ย่าตายาย น้ำฆวยก็ไหลหยาดเยิ้มเต็มพื้นหลุมศพไปหมด ทุกภาพเหตุการณ์อยู่ในสายตาชองผู้ร่วมงานทุกคนตั้งแต่บุรุษยศใหญ่ไปถึงไพร่ทาส เจ้าของท่อนฆวยดำยังคงไม่ได้สติ เมามันกับการเล่นแท่งฆวยลำนี้-แท่งฆวยใหญ่-ที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพชนจากรุ่นสู่รุ่น ซู่เหวินได้แต่ดูดปากเสียงดังซิ๊ดอยู่เป็นระยะๆ บัดนี้ไม่เหลือสติอันใดให้คิดพิจารณาอีกต่อไปแล้ว เขาต้องการปลดปล่อยความกำหนัดที่มีอยู่อย่างบ้าคลั่งเท่านั้น ความกำหนัดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแม่ทัพใหญ่ตระกูลซู่ และทำสิ่งที่หลายคนรับไม่ได้ นั่นคือการคว้ากระบี่บรรพชนเล่มเดียวกับที่หลี่เฉินใช้ตัดขนอัปรีย์ของเขาเมื่อครั้งก่อน ตรงเข้าเจาะป้ายหลุมศพขึ้นรูปด้วยหินอ่อนสีขาวนวล ซู่เหวินใช้กระบี่ควงเป็นเกลียวโดยรอบ ไม่นานนักหินอ่อนก็ถูกเจาะเป็นรูกลวงขนาดใหญ่ ไม่ทันหายตกใจ ซู่เหวินคว้าท่อนฆวยลำโตสอดเสียบเข้าไปในรูที่ป้ายหลุมศพนั้น และเริ่มโยกสะโพก กระเด้าป้ายบรรพชนอย่างคนเสียสติ หนัง***ถลอกเมื่อครูดไปกับหินอ่อนที่ใช้กระบี่คว้านเป็นรู แต่ซู่เหวินก็ไม่ละความพยายาม ใช้สองมือกอบโกยน้ำหล่อลื่นที่ไหลนองเต็มพื้นขึ้นมาทาลำ***พร้อมกับยัดกลับลงไปในป้ายหินอ่อนอีกครั้ง ผู้คนพากันยืนส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ที่เห็นสายเลือดตระกูลซู่กำลังกระเด้าฆวยเข้าออกป้ายศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพชนของตนอย่างกระหาย แต่ก็มิได้เข้าไปห้ามด้วยเกรงวรยุทธ์ของแม่ทัพใหญ่ ได้แต่ยืนมองด้วยความรังเกียจ ขอให้เหตุการณ์นี้จบลงไวๆ “ท่านพ่อท่านแม่ ข้าเสียวฆวยเหลือเกิน...ท่านปู่ท่านย่า ข้าขอใช้ฆวยที่ข้ารักเคารพพวกท่านในวันนี้…ท่านตาท่านยาย ข้ามีความสุขจริงๆ ข้าชอบความเสียวนี้จริงๆ” ซู่เหวินพูดพร้อมยืนกระเด้าฆวยเข้าออกอย่างไม่ลดละ น้ำหล่อลื่นไหลชะโลมป้ายหินอ่อนจนเงาวับ ซู่เหวินผลักป้ายหินอ่อนล้มลงพร้อมกับเข้าไปนอนกระเด้าอย่างไม่สนใจสายตาที่จ้องมองอยู่ “อู้ยย..โอ้วว..เสียวเหลือเกิน สุขเหลือเกิน” ชายหนุ่มขยับสะโพกขึ้นสุดลงสุด ยามขึ้นมองเห็นฆวยยาวใหญ่ผุบขึ้นจากรูหินพร้อมกับน้ำฆวยที่ไหลยืดตามออกมา ยามลงกดสะโพกสุดแรงเสียงดังฝับๆๆๆ ถ้าไม่ทำอุจาดตาเยี่ยงนี้ นับว่าลีลาทางเพศของท่านแม่ทัพทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ในเขตนั้นเกิดติดใจอยากลิ้มลองได้ไม่ยากนัก ไม่นานนัก แม่ทัพใหญ่เร่งกระเด้าฆวยอย่างไม่ปราณี สองมือยันพื้นไว้ มีเพียงท่อนฆวยที่ขยับเข้าออก เพลานี้ซู่เหวินตกอยู่ในห้วงจินตนาการ พระพักตร์เงยรับแสง แลบลิ้นตวาดไล่เลียอากาศอย่างเย้ายวน มือหนึ่งยกขึ้นมาบี้บดหัวนมใหญ่อย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าขมวดเกร็งดูทรมานแต่มีความสุขไปพร้อมกัน อีกไม่นานความใคร่ของเขาก็จะถูกระบายออกสู่ป้ายบรรพชนแล้ว “ท่านพ่อ...ท่านปู่...ท่านตา ข้าจะปล่อยน้ำออกแล้ว ข้าไม่ไหวแล้ว โอ๊ยยย...ข้า..จะ..แตก.แล้ว” “ท่านแม่...ท่านย่า...ท่านย่า ฟ้าดินเป็นพยาน ข้า-ซู่เหวิน-ขอปล่อยน้ำเสียวใส่หน้าหลุมศพพวกท่านตรงนี้” ไม่ทันชาดคำซู่เหวินก็ถอนฆวยออกจากรูหิน ยืนขึ้นหันหน้าเข้าหลุมศพบรรพชน มือสาวรูดลำฆวยใหญ่ยาวที่บัดนี้มีสีดำทมิฬจนน่ากลัว “ขะ...ข้า ข้าคือเง็กเซียนฮ่องเต้!!! ฮ่าๆๆๆ ฆวยข้าใหญ่ยิ่งกว่าชายในในหล้า น้ำเง็กเซียนจะออกแล้ว น้ำเง็กเซียนจะแตกแล้ว” อยู่ๆ แม่ทัพก็หลุดปากพูดอย่างไร้การควบคุม “น้ำเงี่ยนเซ็กส์ออกมาแล้ววว...ท่านพ่อท่านแม่” ซู่เหวินตะคอกพูดผิดพูดถูก พร้อมกับการล้นทะลักของน้ำฆวยที่พวยพุ่งออกมา ราดรดลงบนหลุมศพของตระกูลเขา สายน้ำเงี่ยนพรมลงบนพื้นอย่างล้นหลาม ไหลแผ่ไปทั่วบริเวณ บัดนี้หลุมฝังศพบรรพชนเลอะไปด้วยน้ำเงี่ยนจากผู้สืบสกุล ป้ายหลุมศพก็ล้มระเนระนาด น้ำหล่อลื่นชะโลมไปทั่วบริเวณ กลิ่นเหม็นคาวน้ำเงี่ยนเริ่มแผ่กระจาย ไม่ทันที่ซู่เหวินจะได้สติก็ถูกทหารจับมัดมือไพร่หลังในสภาพไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด ผู้คนในบริเวณนั้นจำภาพที่เกิดขึ้นได้จนวันตาย สามารถเล่าต่อลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นถึงความอัปยศในวันเคารพบรรพชนของตระกูลซู่ หลี่เฉินยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างพอใจในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น “นี่ยังเป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้นไอ้คุณชายซู่” หลี่เฉินพูดกับตนเองพร้อมฉายแววตาอาฆาต“แม่ทัพซู่กระทำการอุจาดผิดผีเยี่ยงนี้ ข้าจำต้องทูลรายงานต่อองค์จักรพรรดิ” องครักษ์ชิงฟู่กล่าวอย่างโมโหสุดขีด หลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์ที่บุตรชายหลั่งน้ำฆวยต่อหน้าบรรพชนในขณะที่เจ้าของความผิดถูกมัดมือไพร่หลัง แอ่นท่อนฆวยท้าสายตาบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ แม้จะหลั่งน้ำเงี่ยนออกแล้ว แต่สภาพฆวยยังคงดูแช็งตรงพร้อมรบอยู่ทุกเมื่อ น้ำตาขุนศึกเริ่มหลั่งรินอาบแก้มแดงทั้งสองข้าง เขารู้สึกราวกับความเจ็บปวดจากพิษแมงมุมถูกแทนที่ด้วยความอายที่ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนในงาน“ท่านชิงฟู่โปรดเมตตา ฝ่าบาทของข้าทำความดีความชอบไว้มาก ความผิดครั้งนี้เป็นครั้งแรกของท่านแม่ทัพ โปรดลืมไปเสียเถิด อย่าให้ต้องถึงหูองค์ฮ่องเต้เลย หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก ฝ่าบาทของข้าก็พร้อมน้อมรับความผิดอย่างลูกผู้ชาย” หลี่เฉินออกปากขอร้องแทนนายของตนชิงฟู่ตรองอยู่ไม่นานก็เห็นด้วยกับหลี่เฉิน ความผิดครั้งนี้ไม่ควรถึงหูองค์ฮ่องเต้ให้ขุ่นเคืองพระทัย บัดนี้ท่านแม่ทัพซู่อยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก จำเป็นต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยหากแม่ทัพจะกระทำการไร้ยางอายเช่นนี้อีก ก็ยังมีผู้ใกล้ชิดคอยยับยั้งการกระทำนั้นได้ทันท่วงที“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าหลี่เฉิน และในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ใกล้ชิดกับแม่ทัพซู่มากที่สุด ข้าวานรบกวนเจ้าดูแลทัพแม่ทัพอย่างใกล้ชิด ด้วยว่าบัดนี้ท่านแม่ทัพดูไม่สบายคล้ายป่วยไข้ ได้เจ้ารับใช้อยู่ใกล้ชิดคงจะดี” ชิงฟู่กล่าวกับหลี่เฉินหารู้ไม่ว่าความหวังดีขององครักษ์ชิงฟู่ที่มีต่อขุนศึกอย่างซู่เหวินจะกลับกลายเป็นความโชคร้าย ไม่ต่างจากโยนลูกไก่เข้าปากจระเข้“เหตุการณ์วันนี้ขอให้ทุกคนปิดปากให้สนิท อย่าได้แพร่งพรายให้ใครรู้โดยเด็ดขาด งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว ย้ายแยกกันกลับบ้านเรือนของพวกเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” ชิงฟู่ตะโกนแจ้งผู้คนในงานที่เริ่มทยอยกลับกันด้วยความรังเกียจคุณชายซู่
................................................................................................................................................................... ณ ห้องบรรทม จวนแม่ทัพ
เมื่อได้รับคำสั่งจากองครักษ์ใหญัตัวแทนฮ่องเต้ บัดนี้หลี่เฉินได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลคุณชายซู่อย่างใกล้ชิด หากแต่สิ่งที่เขาทำกลับตรงข้ามกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
คุณชายซู่ถูกมัดติดกับเสากลางห้อง มีเพียงหยาดเหงื่อที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้เท่านั้น ขณะที่หลึ่เฉินขึ้นไปนอนบนแท่นบรรทมของคุณชายซู่อย่างสุขอุรา
“เตียงของแกช่างนุ่มเหลือเกินไอ้เหวิน หากได้สตรีสักนางมาร่วมรักบนเตียงนี้คงสำราญไม่น้อย” หลี่เฉินพูดอย่างเบิกบานใจ วันนี้เป็นวันที่หลี่เฉินเฝ้ารอมานาน วันที่ทุกอย่างของซู่เหวินเป็นของมัน วันที่ทวงคืนทุกสิ่งที่ซู่เหวินพลากจากมันไป วันที่มันสั่งให้ลูกน้องไปเชิญพระมเหสีเอกของซู่เหวินมาที่ห้องบรรทม ไม่นานนักหลังจากออกคำสั่ง หน้าห้องบรรทมก็ปรากฏกายของสตรีรูปงามหยดย้อย ผิวพรรณเปล่งรัศมีสว่างทั่วเรือนร่าง ดวงตาคมใสดังลูกสมันน้อย คิ้วโก่งดังคันศร จมูกโด่งเชิดได้รูป ปากเล็กสีชมพูระเรือ เรือนผมเกล้าอย่างปราณีตวิจิตรบรรจง ดูแล้วเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ เหมาะสมกันกับท่านแม่ทัพอย่างยิ่ง“นี่เจ้าจะทำอะไรพระมเหสีของข้า ไอ้ชาติชั่...” ยังไม่ทันที่แม่ทัพจะพูดจบ ผ้าขี้ริ้วสกปรกผืนหนึ่งถูกยัดปากแม่ทัพซู่ทันที พระมเหสีองค์นี้เป็นถึงบุตรีของเจ้ากรมการคลังในพระราชสำนัก ที่องค์ฮ่องเต้ทรงเห็นชอบจัดพิธีสมรศให้อย่างสมเกียรติ แม้เขาจะมีนางสนมอยู่มาก แต่มีเพียงพระมเหสีคนเดียวที่เขารักจนหมดหัวใจ“ข้าบอกแล้วไงว่าทุกอย่างของเจ้าต้องเป็นของข้า” หลี่เฉินตอบ พร้อมกับสั่งทหารให้ปิดตาพระมเหสีด้วยผ้าแพร ก่อนเปิดประตูต้อนรับอย่างหื่นกระหายสตรีรูปงามก้าวเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวังด้วยถูกปิดตาไว้ ก้าวเดินผ่านสวามีที่ถูกมัดมือปิดปากไว้อย่างน่าอนาจ
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” พระมเหสีกล่าวพร้อมย่อตัวทำความเคารพ ตัวนางเองรู้ดีว่าการที่ฝ่าบาทเรียกพบยามวิกาลเช่นนี้หมายถึงอะไร แม้จะยังสงสัยเรื่องที่ต้องปิดตาแต่ก็กล้าเอ่ยปากถาม
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองนักหรอก มเหสีของข้า” หลี่เฉินกล่าวกับภรรยาของแม่ทัพซู่เหวินซู่เหวินรู้ทันทีว่าบัดนี้หลี่เฉินได้สวมรอยเป็นเขา และกำลังจะทำสิ่งที่เขารับไม่ได้ แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งตาแดงกัดฟันแน่น ขณะเดียวกันหลี่เฉินก็ลุกขึ้นไปปลดเปลื้องเสื้อผ้าของมเหสีออกจนหมด เผยความงดงามที่แท้จริง ความงามที่แอบซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าของนางเต้านมที่อวบใหญ่จับได้เต็มไม้เต็มมือ พร้อมด้วยหัวนมสีชมพูดูเข้ากันได้ดีกับผิวกายสีขาว เบื้องล่างมีขนอุยขึ้นบางๆ เหนือปากหอยมุขที่ยังคงปิดสนิทแน่น หลี่เฉินพินิจอย่างเร้าใจ ท่อนเอ็นภายในเริ่มชูชันตอบโต้หลี่เฉินในวัยเจริญพันธ์ มีใบหน้าหล่อเหลาอย่างชายฉกรรจ์ ดวงตาดำขลับคมคาย ขนตาดกดำรับกับคิ้วหนา จมูกพุ่งโด่งเป็นสันงดงาม เรียวปากบางสวยได้รูป ดูแล้วมีความงามเหนือทหารชั้นเลวทุกนาย สมกับเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเหอเป่ยไม่รอช้าหลี่เฉินปลดเสื้อผ้าของตนออก เผยให้เห็นสัดส่วนที่ไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพซู่เลยสักนิด กล้ามเนื้อแต่ละส่วนขึ้นเป็นรูปร่างชัดเจนจากการฝึกทหารตั้งแต่เด็กของเขา ท่อนฆวยตรงใหญ่ขนาดเกือบ 8 นิ้ว ชูเชิดชี้ขึ้นฟ้า แม้ขนาดจะไม่ใหญ่เท่ากับของแม่ทัพซู่แต่ก็จัดว่าใหญ่เกินมาตรฐานชายฉกรรจ์ ขนหมอยที่ยาวหยิกฟู่ฟ่องอยู่เหนือโคนฆวย ดูดกดำน่าค้นหาบัดนี้หลี่เฉินจับพระมเหสีกดไหล่ให้นั่งลงบนพื้นใกล้กับตำแหน่งที่แม่ทัพซู่ถูกจับมัดไว้ ไม่รอช้าหัวฆวยสีชมพูสดจ่อเข้าตรงกลางริมฝีปากของสาวงาม พร้อมกับที่ปากเล็กเผยอออกรับท่อนฆวยนั้นเข้าไป ด้วยความใหญ่ของฆวยทำให้ปากน้อยๆ ตึงขึ้นทันที ริมฝีปากคลอบลงบนท่อนฆวยดูดเข้าดูดออก ตั้งแต่ปลายถึงโคนฆวยอย่างเอาเป็นเอาตาย“เมียรักของข้า เจ้าช่างดูดฆวยเก่งเหลือเกิน” หลี่เฉินทนความเสียวซ่านแทบไม่ไหว สองมือจับศีรษะพระมเหสีไว้แน่น พร้อมกับการเคลื่อนสะโพกเข้าออกจากปากอย่างต่อเนื่อง บัดนี้ซู่เหวินนั่งน้ำตาตก ได้แต่มองดูศัตรูกำลังกระเด้า***ปากเมียของตน“ฝ่าบาทเพคะ โปรดเมตตาสงเคราะห์หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” พระมเหสีกล่าวเสียงกระเซ้า น้ำใสไหลออกจากกลีบบุปฝา เป็นสัญญาณว่าพร้อมจะร่วมรักเต็มที่แล้ว “เจ้าต้องการสิ่งใดก็พูดมาตรงๆ เถิด อย่าได้อ้อมค้อม” หลี่เฉินถาม“มะ...หม่อนฉัน เอ่อ..กำหนัดเหลือเกินเพคะฝ่าบาท” พระมเหสีตอบกลับ“ต่อไปถ้าเจ้ากำหนัด ให้เจ้าพูดว่า-เงี่ยน- เข้าใจชัดไหม” หลี่เฉินกล่าวอย่างมีความสุข “เพคะฝ่าบาท บัดนี้หม่อมฉัน..งะ..เงี่ยนแล้วเพคะ เงี่ยนเหลือเกิน โปรดฝ่าบาทช่วยปลดปล่อยหม่อมฉันด้วยเพคะ” พระมเหสีเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วหลี่เฉินอุ้มว่าที่ภรรยาของเขาตรงไปที่แท่นบรรทม ก่อนจะวางนางลงและก้มหน้าไปดูดกินน้ำหวานจากกลีบผกาที่หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ปลายลิ้นตวัดแตะกับเม็ดสาวอย่างคล่องแคล้ว สาวน้อยเบียดเสียดโคกใหญ่เข้ารับกับใบหน้าของหลี่เฉิน นอนก้นลอยเสียวซ่าน สะบัดไปมาเหมือนสัตว์หาคู่ สร้างความเงี่ยนแก่หลี่เฉินได้มากขึ้น เมื่อดูดดื่มเนินโคกหญิงสาวอย่างพอใจแล้ว ก็จับนางนอนหงาย พร้อมคุกเข่าจ่อลำฆวยชายให้ตรงกับกลีบหอยสาว“บัดนี้ ช้าจะสอดฆวยแท่งนี้เข้าไปให้ช่องสาวงาม เทพยดาทั้งหลายเป็นพยาน เราสองเป็นผัวเมียกันอย่างสมบูรณ์” หลี่เฉินคำรามลั่นห้องหวังให้ซู่เหวินได้ยินสิ่งที่เข้าพูด ก่อนจะจับแกนฆวยกดล้ำเข้าไปให้ช่องรักอย่างยากเย็น กลีบแคมทั้งสองบานอูมโอบรัดลำฆวยอย่างแน่นหนา ลำฆวยค่อยๆ เคลื่อนผ่านช่องรักทีละน้อย จนมิดเงี่ยงบานของหลี่เฉิน “อ่า...ฆวยเข้าไปแล้วเมียข้า ฆวยได้ลิ้มรสช่องสาวของเจ้าแล้ววว เป็นบุญฆวยของข้าเหลือเกิน” หลี่เฉินดูดปากกับสาวงามก่อนจะกระแทกแท่งชายเข้าร่องมเหสีอย่างสุดแรงเกิดเสียงดับสวบๆบัดนี้เครื่องเพศทั้งคู่แนบสนิทติดกัน ซึมซาบความเสียวซ่านแก่กันและกัน หลี่เฉินเริ่มขยับเอวเข้าออก ซอยฆวยถี่ยิบจนหญิงสาวพร้อมแอ่นโคกให้กระแทกไม่ยั้ง “เงี่ยนเหลือเกิน ฝ่าบาทของข้าช่างเก่งกาญทั้งการรบและการรัก” หญิงสาวปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่ ก่อนที่จะถูกฝ่ายชายช้อนร่างขึ้นเดินตรงไปทางแม่ทัพซู่ที่นั่งใจสลายอยู่บัดนี้เบื้องหน้าซู่เหวินคือหนึ่งชายหนุ่มกำลังอุ้มหนึ่งหญิงสาว มือฝ่ายชายโอบอุ้มสะโพกฝ่ายหญิง ในขณะที่มือฝ่ายหญิงก็โอบลำคอของฝ่ายชาย เบื้องล่างเป็นแท่งฆวยชายที่จ่อตรงพอดีกับร่องฝ่ายหญิง ก่อนที่จะแทงมิดลำ ภาพทั้งหมดนี้เห็นได้อย่างชัดเจนเพราะหลี่เฉินจงใจให้ซู่เหวินรับรู้ทุกการกระเด้าเครื่องเพศมเหสี หลี่เฉินกระแทกฆวยด้วยความถี่ราวกับกระหายร่องสาวนี้มานาน น้ำหล่อลื่นไหลปะปนกันจนแยกไม่ออกว่ามาจากฝ่ายชายหรือหญิง “ร่องสาวของเจ้าตอดลำฆวยข้าตุบๆ คล้ายมีมือเด็กน้อยคอยบีบคลายท่อนฆวยให้ข้าอยู่ตลอด” หลี่เฉินปล่อยให้ฆวยถูกบีบรัดจากร่องอ่อนละมุน แล้วจึงนอนลง ปล่อยให้เมียสาวขึ้นโยกลำฆวยของเขาด้วยตัวเอง ปล่อยเต้านมให้หลี่เฉินดูดเลียอย่างกระหาย ต่อหน้าสวามีที่แท้จริงตรงหน้า“ซิ๊ดดด..ดด ข้าเงี่ยนเหลือเกิน เงี่ยนมาก สาวงามกำลังขย่มฆวยข้า สกุลซู่จงเป็นพยานรักของเราสอง” หลี่เฉินพูดเสียงดัง ก่อนจะพลักนางนอนลงข้างกายสวามีตัวจริง แล้วซอยฆวยถี่ พวงไข่กระทบกับเนินสาวเกิดเสียงดังผับๆๆๆ ก่อนจะไล่น้ำเงี่ยนจากอัณฆะพุ่งขึ้นมาตามลำ***“จะแตกแล้วเมียรัก ผัวจะปล่อยลูกๆ ของเราเข้าไปในท้องเมียแล้ว โอ้วว...อ่า”สิ้นสิ้นคำราม ลำฆวยหลี่เฉินก็แข็งเกร็งกระตูกพ่นน้ำเงี่ยนขาวเข้าใส่ท้องพระมเหสีอย่างมากมาย จนหญิงสาวรับรู้แรงดันภายในได้ชัดเจน ลำฆวยยังคงกดแนบแน่นไม่ปล่อย กระตุกหลั่งน้ำเขื้อชายเข้าไปจนล้นท้นกลับออกมา ไหลย้อนย้อยออกจากร่องหญิงสา สิ้นบทเพลงบรรรักของทั้งคู่ หญิงสาวนอนสลบหมดสติเพราะความเหนื่อยอ่อน หลี่เฉินถอดฆวยออก มีน้ำเชื้อยืดติดปลายฆวยเป็นสายยาว พรางหัวเราะร่า“บัดนี้เมียของเจ้ารับน้ำรักจากจากข้าเข้าไปแล้ว เชื้อหลี่เฉินของข้าคงปะปนอยู่กับเชื้อซู่เหวินของเจ้า หากแม้นมีเด็กฟูมฟักอยู่ในท้องพระมเหสี ก็คงบอกได้ยากว่าเป็นเชื้อของใคร แต่ที่แน่ๆ เมียของเจ้าคือเมียของข้า ฮ่าๆๆๆ” หลี่เฉินเย้นเยาะแม่ทัพซู่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซู่เหวินยังไม่เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นจริง เขา-แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น-ต้องมาร่วมหลั่งน้ำรักพร้อมทหารในบังคับบัญชานับหมื่นนาย ต้องกระแทกฆวยเข้าป้ายบรรพชนของตระกูลต่อหน้าคนมากมาย ต้องสาวฆวยพ่นน้ำหนุ่มลงบนหลุมศพสกุลซู่ แล้วยังต้องมานั่งดูร่องเมียรักที่บัดนี้มีน้ำเชื้อศัตรูไหลหลั่งออกมา ในเพลานี้เขาทำได้เพียงคิดว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับเรื่องร้ายใดอีกบ้าง....
ยามค่ำคืน ณ แคว้นเหอเป่ย ดินแดนกบฏที่ถูกขุนศึกซู่เหวินกำราบเสียราบคาบ ตั้งแต่นั้นมาสตรีในเมืองก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นสาวรับใช้กระจายไปต่างเมือง ส่วนบุรุษก็กลายเป็นทรชน ไพร่ทาส ยาจก ชนชั้นแรงงาน คอยรับใช้ “ซู่เริน” บุตรชายคนโตของแม่ทัพซู่ ที่บัดนี้ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้มาควบคุมดูแลแคว้นเหอเป่ยแห่งนี้
ซู่เรินนั้นเป็นชายหนุ่มกลัดมันในวัย 18 ปี มีใบหน้าหล่อเหลาคมคายผ่องสว่างดังดวงจันทร์ พระเนตรดำสนิทดูแข็งแกร่งชวนหลงไหล เสริมด้วยขนตายาวโค้งช่วยเสริมให้ดูน่ามอง พระนาสิกเห็นเป็นสันเรียวสวย ขับใบหน้าให้ดูมีมิติ พระโอษฐ์ยามยิ้มเห็นฟันขาวเรียงราย ชวนให้ผู้พบเห็นใจอ่อนระทวย
บุตรแห่งโอรสสวรรค์ถอดแบบจากพระบิดามาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นความลงตัวที่รวมอยู่ร่างเดียว แน่นอนว่าซู่เรินนั้นเป็นที่หมายตาของสตรีทั่วเขตแคว้น แม้นบุรุษยังต้องมองตาค้างในความงามที่เหนือพวกเขาอย่างเทียบไม่ติดฝุ่น
แม้ซู่เรินจะเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่ก็เติบโตมาในจวนแม่ทัพ เท่าที่เขาจำความได้ เมื่ออายุเพียง 8 ขวบก็ถูกสั่งสอนตำราพิชัยสงคราม และเริ่มฝึกหัดเป็นทหารตั้งแต่อายุ 10 ปี ไม่แปลกใจเลยที่รูปร่างทรวดทรงจะดูบึกบึนเกินวัย ขอบแขนเสื้อที่โอบรัดมัดแขนแทบปริแตกออก กล้ามอกก็ยกดันชุดมองเห็นเป็นแผงใหญ่ เป็นที่มาของคำว่าลูกผู้ชายอกสามศอก
เขาถูกส่งตัวมาอยู่ที่เหอเป่ยนานเกือบ 2 ปีแล้ว หลังจากพระบิดาได้สังหารประมุขใหญ่ของแคว้น แห่งนี้ ส่งผลให้กลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้ปกครอง พระบิดาเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้จะเกิดปัญหาชนกลุ่มน้อยตั้งต้นเป็นใหญ่ จึงส่งเขามาเป็นราชาปกครองทีนี้ไว้เป็นการณ์ชั่วคราว วันนี้จู่ๆ ก็มีจดหมายเร็วจากแม่ทัพซู่ส่งมา ใจความแจ้งว่าให้ซู่เริ่นกลับเมืองต้าเหลียนโดยเร็ว
“วันพรุ่ง ข้าจะเสด็จกลับแคว้นต้าเหลียนไปหาพวกท่าน รอข้านะ...ท่านพ่อท่านแม่” ซูเริ่นคิดในใจ
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ยามราตรี ภายในห้องประชุม ณ จวนแม่ทัพ
ชายชุดดำ 3 คนนั่งอยู่เบื้องหน้าชายรูปงามที่พึ่งสำเร็จกิจกามกับพระมเหสีของราชาแห่งแคว้นต้าเหลียน บัดนี้ชายทั้งสี่กำลังนั่งสรวลเสเฮฮา นั่งดื่มสุราอย่างสบายใจ
“บัดนี้ใต้เท้าซู่อยู่ในกำมือนายท่านแล้ว เหตุใดจึงไม่ยึดเมืองต้าเหลียนเลยขอรับ?” ชายชุดดำถามผู้เป็นนาย
“สิ่งที่ข้าหวังนั้นมากกว่าเมืองต้าเหลียนแห่งนี้ จะคิดการณ์ใหญ่ต้องใจเย็น พวกเราต้องค่อยๆ ทำลายอำนาจเก่าจากภายในไปเรื่อยๆ เริ่มจากตัดสัมพันธ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพซู่ให้หมดสิ้นเสียก่อน ตั้งแต่สตรีเคียงข้างกาย บุตรชาย นายกองทหารทั้งหลาย ไปจนถึงประชาชนทั้งหญิงชาย” หลี่เฉินอธิบาย
เขาทนรอวันที่จะเห็นแม่ทัพสิ้นเนื้อประดาตัวแทบไม่ไหว วันที่ซู่เหวินจะไม่เหลือเกียรติยศและความเป็นชายอีกต่อไป วันที่มันต้องอายแทบเอาหน้ามุดดิน ก่อนจะถึงวันนั้น เขาต้องจัดการกับบุตรชายของซู่เหวินเสียก่อน
“ไอ้ซู่เริน เจ้าเกิดมามีพร้อมทั้งรูป ทรัพย์สมบัติ อำนาจและความสบาย ต่างจากข้าที่ต้องกำพร้าพ่อแม่ คุณหนูอย่างเจ้าต้องเรียนรู้ความเจ็บปวดเสียบ้าง” หลี่เฉินคิดในใจอย่างเงียบๆ ก่อนเผยรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างน่ากลัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น