ทว่าเมื่อถึงโตเกียวรถกลับเลี้ยวไปทางเส้นฮิโรโอะซึ่งเป็นที่ตั้งตึกสำนักงานและลอฟท์ของไคโตะ อีกครั้งที่เด็กหนุ่มคิดจะเปิดปากแย้งแต่เรื่องพูดก่อนพูดหลังนี่เหมือนจะกลายเป็นสาระสำคัญในการทำสงครามเงียบครั้งนี้เสียแล้วจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากปั้นหน้าเฉยทั้งที่ในใจกระสับกระส่ายเต็มทีในที่สุดก็มาหยุดที่ห้องลอฟท์ชั้นบนสุดที่เคยมาเมื่ออาทิตย์ก่อนอากิระยืนอยู่แค่หน้าลิฟท์ ไม่ยอมเข้าไปในห้อง ในขณะที่เจ้าของห้องไขกุญแจเปิดไฟหายเงียบไปทำอะไรกุกกักโดยเปิดประตูทิ้งไว้เหมือนแน่ใจว่ายังไงอีกคนก็ต้องตามเข้ามา
ร่างบางจุ๊ปากอย่างขัดใจสุดขีดจะลงลิฟท์ไปเรียกแท๊กซี่กลับบ้านก็ไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์มาแล้วขืนสวมชุดนี้กลับไปต้องมีคำถามตามมาอีกพะเรอเกวียนแน่ไหนจะเป้ที่ยังอยู่บนห้องในโรงแรมที่โยโกฮาม่าอีกล่ะ ในนั้นมีทั้งเสื้อผ้า เงินแถมยังมีการบ้านที่เขาหอบหิ้วมาอีก ใครจะเป็นคนเอามาคืนให้?
หลังจากเดินวนเวียนอยู่เป็นครู่อากิระก็ตัดสินใจตามเข้าไป กะว่าคุยกันให้มันรู้เรื�
ร่างบางจุ๊ปากอย่างขัดใจสุดขีดจะลงลิฟท์ไปเรียกแท๊กซี่กลับบ้านก็ไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์มาแล้วขืนสวมชุดนี้กลับไปต้องมีคำถามตามมาอีกพะเรอเกวียนแน่ไหนจะเป้ที่ยังอยู่บนห้องในโรงแรมที่โยโกฮาม่าอีกล่ะ ในนั้นมีทั้งเสื้อผ้า เงินแถมยังมีการบ้านที่เขาหอบหิ้วมาอีก ใครจะเป็นคนเอามาคืนให้?
หลังจากเดินวนเวียนอยู่เป็นครู่อากิระก็ตัดสินใจตามเข้าไป กะว่าคุยกันให้มันรู้เรื�
เจ้าแมวพันธุ์แร็กดอลล์นอนหมอบใต้โต๊ะอาหารให้ปลายนิ้วเท้าสะอาดจิ้มเขี่ยพุงไปมาดวงตาสีฟ้าสว่างของมันแหงนมองเพื่อนใหม่สลับกับเจ้านายที่ยืนหน้าเตาในครัวพลางนอนกลิ้งไปมาอย่างเป็นสุขเพราะเพิ่งอิ่มหนำกับมื้อเช้า
“เอ้า เรียบร้อย” ยากุซ่าหนุ่มผู้ซึ่งไม่เหมาะกับกระทะและตะหลิวเอาเสียเลยช้อนข้าวผัดห่อไข่ใส่จานกระเบื้องแล้วยกมาวางให้คนที่จิบน้ำผลไม้รอกินข้าวเช้าอยู่
ข้าวห่อไข่หน้าตาน่ารับประทานที่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาจะไม่เชื่อเด็ดขาดว่าใครเป็นพ่อครัวอากิระก้มมองพิจารณาครู่หนึ่งก่อนใช้ช้อนตักชิม
“อืม...อร่อย” ข้าวผัดที่ใช้เนยแทนน้ำมันแถมตีผสมนมลงไปในใข่เล็กน้อยทั้งหอมทั้งมันมีรสเปรี้ยวนิดๆของมะเขือเทศสดหั่นด้วย น่าทึ่งจริงๆให้ตาย
“ใช่ไหมล่ะ” ไคโตะรับด้วยความภูมิใจเขาคลุกน้ำสลัดกับผักที่หั่นเตรียมแล้วในชามใบใหญ่ก่อนตักแบ่งแล้วลงมือรับประทานพร้อมกัน “ฉันไม่ได้บอกให้แม่บ้านเข้ามาทำงานวันนี้เพราะงั้นเชิญชิมฝีมือฉันไปก่อนก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มโคลงศีรษะขณะที่ลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
“ดูคุณไม่น่าทำกับข้าวเป็นเลยนะ”
“ก็คงงั้น แต่ฉันไปเรียนมหา’ลัยที่อังกฤษ อยู่คนเดียวมันก็ต้องทำให้เป็นจนได้แหละ”
คิ้วเรียวเลิกสูงทำกับข้าวว่าไม่น่าเชื่อแล้ว เป็นนักเรียนนอกยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปใหญ่เลยแฮะ
“ทำหน้าแบบนั้น ไม่เชื่อสิ?”
“เปล่า” เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่จะว่าไปเรื่องรสนิยมหรู สูบซิการ์ จิบไวน์ ขับปอร์ชนี่ก็สมควรอยู่หรอกแต่พูดถึงยากุซ่าเป็นนักเรียนนอกแล้วมันขัดๆยังไงชอบก๊ล
ร่างสูงเหล่ๆ แต่ออกไปในทางขบขำมากกว่ารู้สึกผ่อนคลายที่บรรยากาศดีๆกลับคืนมาแล้ว
“แล้วคุณไปอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน?”
“จนจบปริญญาตรี” เขาเว้นจังหวะเพื่อกลืนข้าว “แล้วกลับมาเรียนโทที่ญี่ปุ่นนี่”
จบสูงเสียด้วยแฮะฝ่ายได้ฟังนึกชื่นชมอยู่ในใจ
“แล้วเธอล่ะ เอนทรานซ์ปีนี้ไม่ใช่หรือ?”
“อืม ก็ใช่ แต่ก็ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้สิหมายความว่าไง?”
“ก็...ผมไม่รู้ว่าผมอยากเข้ามหา’ลัยหรือเปล่า คือมัน...ไม่มีอะไรที่อยากทำหรืออยากเรียนเป็นพิเศษน่ะ”ว่าพลางยักไหล่
นี่แหละปัญหาของเด็กรุ่นใหม่ทำอะไรตามๆกันเหมือนๆกันจนเคยชิน ทั้งเรื่องเรียนเรื่องเที่ยวจบแล้วต้องเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เข้าทำงานบริษัทหาเช้ากินค่ำเหมือนหุ่นยนต์สูญเสียระบบความคิดอิสระ กลัวความแตกต่าง ขาดความฝันและความคิดสร้างสรรค์หลายคนที่ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าทั้งที่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการทำอะไร
“เข้าใจล่ะ” ไคโตะรวบช้อนเมื่อกวาดข้าวทุกเม็ดจนเกลี้ยง“แล้วเธอมีความถนัดทางด้านไหน?”
ร่างบางเอียงคอครุ่นคิด แล้วตอบติดตลก
“กวนส้นชาวบ้านป้ายยาฉกกระเป๋าตังค์ แล้วก็หลีหญิงมั้ง”
“นั่นน่ะเป็นความสามารถที่จะต้องโยนทิ้งไปได้เลยนะ”ชายหนุ่มชี้นิ้วกึ่งปรามกึ่งคาดโทษ
“ล้อเล่นน่า” อากิระรีบบอก“ถ้าหมายถึงเรื่องเรียน ผมเก่งพวกคำนวนน่ะ”
“ก็ดีนี่” มือใหญ่คว้ามีดกับแอ๊ปเปิ้ลขึ้นมาปอกผ่าส่งให้อีกฝ่ายกินล้างปากหลังจากกินอาหารทุกอย่างจนหมดเกลี้ยงดี “ไม่สนใจเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ หรือบัญชีมั่งเหรอ?”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นรับชิ้นผลไม้หวานกรอบมากัดเคี้ยวไปพลางคิดตาม บัญชีเหรอ...ก็ไม่เลวนะ?
“ว่าแต่ของที่ไม่ถนัดล่ะ?”
“ภาษาอังกฤษ” คราวนี้ตอบได้โดยไม่ต้องคิด“วรรณคดีญี่ปุ่นด้วย”
“อืม...ถ้าเป็นภาษาอังกฤษฉันติวให้ก็ได้”
“หา?” ริมฝีปากบางอ้าค้างตกตะลึงแบบจริงใจมากไปนิดทำให้คนเสนอตัวเขม่นมาอีกเป็นรอบที่สองเล่นเอาอากิระต้องรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแหย “อ่า...ขอบคุณครับ”
“ก่อนอื่น ทำการบ้านเสียก่อนเถอะมีภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอ?”
นัยน์ตาคู่สวยตวัดค้อนเล็กน้อย
“รู้ได้ไงน่ะ แอบเปิดเป้ผมสิท่า?”
ไคโตะได้ทีส่งยิ้มกวนๆกลับบ้าง คนตัวเล็กเลยหน้ามุ่ย
“เถอะน่า ไปเอาการบ้านมาทำได้แล้ว”
เด็กหนุ่มแอบทำปากยื่นหมั่นไส้คนที่วางท่าเป็นผู้ปกครองแต่ก็เดินไปค้นเครื่องเขียนกับสมุดการบ้านออกมาจากกระเป๋าในขณะที่อีกฝ่ายย้ายที่นั่งไปตรงชุดโซฟารับแขกตัวใหญ่แบบนอนเหยียดตัวได้สบายโดยอุ้มดัชเชสส์ตามมาด้วย
“ถ้าผมสอบตกต้องรับผิดชอบด้วยนะ”
ร่างบางเข้ามานั่งข้างทิ้งระยะงไว้พอประมาณ ปากก็บ่นไปอย่างนั้นเอง แต่เพิ่งมานึกได้ว่าไม่น่าเลยเพราะหันไปสบสายตาแฝงเลศนัยนั่นเข้าพอดี เรียวปากได้รูปยิ้มกริ่ม
“รับรองน่า...รับผิดชอบแน่”
**********
“ผิด”
“ตรงไหน?” เสียงใสๆเถียงทันควันเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดแน่
“นี่ไง ‘were’ ต้องเป็น ‘was’ สิ” มือใหญ่จับปากกามาชี้ให้เห็น
“เฮอะ” เด็กหนุ่มทำเสียงได้ใจกว่าเดิมสงสัยได้ลูบคมนักเรียนนอกก็คราวนี้แหละ “ ‘Majorities’ เป็นพหูพจน์ชัดๆผมเติมผิดซะที่ไหน”
“ ‘The Majorities’ ต่างหากมั่วจริง เติม ‘The’ เข้าไปคำนี้ก็กลายเป็นเอกพจน์ ต้องใช้ ‘was’ถึงจะถูก สอนแล้วยังเถียงอีก”
“ก็...บอกแล้วว่าไม่เก่งนี่ตัวเองจบนอกมาจะไปสู้ได้ไง” อากิระบ่นอุบอิบพลางเอาลิควิดมาลบแก้โดยที่คงลืมไปแล้วมั้งว่าเมื่อครู่ตัวเองเถียงเอาฉอดๆ
ชายหนุ่มมองแล้วส่ายหน้าขำๆเหลือบดูนาฬิกาตั้งโต๊ะก็เกือบได้เวลาอาหารกลางวันแล้วเขาเดินไปหยิบโทรศัพท์หัวเตียง กดหมายเลขสั่งรายการอะไรอยู่ไม่กี่ประโยคก็วางพอหันกลับมาเห็นคิ้วเรียวเลิกเป็นเชิงถามเลยอธิบาย
“ของในตู้เย็นไม่ค่อยมีฉันเลยโทรสั่งพิซซ่าจากร้านอาหารอิตาเลียนแถวๆนี้ ปกติเขาไม่ได้มีบริการส่งหรอกนะแต่พอดีเป็นลูกค้าประจำกันอยู่”
คนที่นั่งทำการบ้านอยู่พยักหน้ารับรู้มือก็เขียนยิกๆ
“ใกล้เสร็จหรือยัง?” ไคโตะชะโงกหน้าเข้ามาดู
“เหลือแต่แปลข่าวครับ” เขายื่นชีทในมือให้อ่าน
“ไหน อืม...Veteran LabourMP Tam Dalyell called for a "firm and early" date to be set forBritish troops to withdraw from Iraq because they were seen an army ofoccupation…”
นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองริมฝีปากที่ขยับอ่านอย่างคล่องแคล่วถึงจะรู้สึกแปลกๆกับอาจารย์จำเป็นแต่ก็ต้องยอมรับว่าไคโตะสอนได้เข้าใจง่ายดีทีเดียวแถมยังอธิบายในจุดที่เขาไม่รู้เรื่องได้หมดไม่ว่าจะเป็นรูปประโยคแม้กระทั่งรากศัพท์ สมกับที่จบมาจากอังกฤษโน่นที่สำคัญสำเนียงกินขาดจนน่าหมั่นไส้เลยแหละ อ๊ะ...นี่ไม่ได้ชมหรอกนะ...
...
พอทำข้อสุดท้ายใกล้เสร็จ พิซซ่า 2 ถาดก็มาส่งพอดี ไคโตะเดินไปเปิดรับแต่คนที่มาส่งไม่ใช่เด็กส่งพิซซ่ากลับเป็นชายในชุดสูทดำที่ดูยังไงก็ยากุซ่าชัดๆคงเป็นลูกน้องในแก็งค์ เขายื่นส่งให้ด้วยความนอบน้อมแล้วหันกลับลงไปเงียบๆ
“มาแล้ว หน้าแซลมอนรมควันกับอีกอันเป็นแฮมเห็ด” แค่เปิดฝาพิซซ่าแผ่นบางตำรับอิตาเลียนแท้ก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเลยเชียว“ลองแล้วจะลืมพวกฟาสต์ฟู้ดไปเลยล่ะ”
ได้ยินคำโฆษณาสรรพคุณแล้วก็น้ำลายสอขึ้นมาทันควันเด็กหนุ่มใช้มือหยิบแผ่นแป้งบางหน้ามอสซาเรลล่าชีสโปะแซลมอนรมควันอุ่นๆส่งเข้าปากแล้วก็ต้องฮัมในคอเบาๆอย่างมีความสุขระหว่างที่อีกคนหยิบไซเดอร์รสผลไม้เปิดส่งให้แล้วจึงนั่งกินไปตรวจการบ้านที่เสร็จไปด้วย
“อา...โอเคแล้วไม่มีอย่างอื่นแล้วใช่ไหม?” ชายหนุ่มถามหลังตรวจทานเรียบร้อย
อากิระส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะปากยังเคี้ยวตุ้ย
ร่างสูงวางสมุดกับเครื่องเขียนแหมะไว้มุมหนึ่งของโต๊ะกดรีโมทโทรทัศน์เพื่อดูข่าวพลางลงมือกับมื้ออาหารกลางวันของตัวเองต่อโดยไม่ลืมแบ่งให้ดัชเชสส์ที่มาเกาะแข้งเกาะขาอ้อนอย่างน่ารักน่าชัง
“แมวของคุณ เลี้ยงมานานแล้วเหรอ?”
“ก็เกือบ 2 ปีทำไมหรือ?”
“เปล่าผมแค่นึกได้ว่าครั้งแรกที่มาที่นี่ทำไมไม่เห็นมัน” ร่างบางว่าก่อนคว้าแผ่นที่3 ขึ้นมากินต่อ
“อ๋อฉันเอามันลงไปฝากลูกน้องข้างล่างชั่วคราว” ชายหนุ่มเองก็กินเก่งไม่แพ้กันพิซซ่าแต่ละแผ่นหมดไปด้วยความรวดเร็ว “คือฉันกลัวว่าเธอจะจับมันเป็นตัวประกันน่ะ”
ฝ่ายได้ฟังย่นคิ้วใส่รอยยิ้มยั่วนั่นคนที่เป็นฝ่ายลักพาตัวมากักขังหน่วงเหนี่ยวน่ะไม่ใช่เขาเลยแท้ๆ
“การบ้านก็เสร็จแล้วจะออกไปเดินเที่ยวไหนมั้ย?” เขาเปลี่ยนเรื่องรวดเร็วตามแบบที่ถนัด
“ไม่เอา” เสียงใสตอบทันควันเขาไม่อยากเสี่ยงที่จะเจอใครให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยกับเมื่อคืนวานอีก
“งั้นจะทำอะไรดีล่ะ?”
“พาผมกลับบ้านเลยก็ได้นี่”
“ชุดนักเรียนก็มี จะรีบกลับทำไม”ไคโตะเขยิบเข้ามาใกล้ “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันไปส่งที่โรงเรียนเองน่า”
มือเล็กฉุดมือซุกซนที่มาป้วนเปี้ยนแถวเอวอย่างสังหรณ์ไม่ดี
“ไหนบอกไม่มีอะไรทำไม่ใช่เหรอ?”
“มีสิ” ยากุซ่าหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาแย่งพิซซ่าคำสุดท้ายไปจากมือเล็กทว่าไม่หยุดแค่กิน กลับแลบลิ้นเลียปลายนิ้วนั้นด้วยพออีกฝ่ายทำท่าจะดึงออกก็จับยึดไว้แล้วดูดหยอกเย้าเรียวนิ้วให้สยิวเล่นก่อนกระซิบเสียงกรุ้มกริ่ม
“เซ็กส์ไง”
“นี่! ปล่อยเลยนะลามก!” แก้มเนียนแดงเรื่อขึ้นมาทันที พยายามผลักยันไหล่หนาของคนที่เข้าประชิดถึงตัวด้วยความรวดเร็วน้ำหนักที่มากกว่ากดให้เขาเอนราบไปกับเบาะโซฟา
ร่างสูงไม่สนใจอาการขัดขืนเขาประทับริมฝีปากและเล็มตามเนียนแก้ม ปลายคาง ตลอดจนซอกคอหอมกรุ่น พลางอ้อนปนเย้า
“เมื่อวานไม่ได้ทำสักครั้งเลยนี่นาเห็นใจกันบ้างสิ”
“เห็นใจบ้าอะไร!คิดแต่เรื่องพรรค์นี้น่ะ อดอยากมาจากไหนหา?” พูดไปก็ต้องคอยหลบคอยรั้งทั้งที่ไม่ค่อยจะเป็นผลนัก
“เฮ้ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆพูดเหมือนไม่เข้าใจความต้องการของผู้ชายงั้นแน่ะ” ริมฝีปากหยักสวยยิ้มทะลึ่งมือไม้สอดเข้าไปป้วนเปี้ยนกับผิวเนื้อละเอียดใต้เสื้อยืดตัวหลวม
“อ๊ะ...อือออคุณมัน...หมกมุ่นเกินไปต่างหาก” แรงโต้แย้งเบาลงไปนิดเมื่อโดนปลายนิ้วหยาบคลึงผ่านยอดอก
“ผิดแล้วเวลาแบบนี้ฉันว่าเป็นการผ่อนคลายด้วยซ้ำนะ” ลิ้นร้อนตวัดไล้ใบหูนิ่มที่มีตุ้มหูเงินแบบห่วงและหมุดใส่ไว้ถึงสามรู“ถือซะว่าเป็นค่าสอนก็แล้วกัน”
นัยน์ตาคมตวัดค้อนขึ้งวางแผนไว้แบบนี้เองสินะ หลงนึกว่าใจดี ตาบ้า!
“แต่พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะแล้วนี่ก็กลางวันแสกๆด้วย!”
“แล้วไงล่ะ? ทำอย่างกับไม่เคยทำตอนกลางวันงั้นแหละ”ในที่สุดก็รูดดึงเสื้อยืดเนื้อหนาให้พ้นร่างเล็กไปจนได้
“เอ๊ะ! คุณนี่...” เด็กหนุ่มเถียงไม่ออก ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำจริงๆนี่นะ
“เถอะน่า”
ไคโตะเชยคางมนขึ้นจุมพิตปิดปากสองมือคลึงเค้นไปตามแนวชายโครงจนเมื่อร่างข้างใต้ลดแรงต่อต้านลงไปแล้วจึงค่อยจูบไซ้ลงมาที่ลำคอระหงเขาหยุดการเคลื่อนไหวไปนิดหนึ่งเมื่อพบกับสายสร้อยโลหะที่คล้องอยู่ ปลายนิ้วสอดเกี่ยวมันขึ้นมาดูชัดๆ
สร้อยแพลตินั่มที่ร้อยแหวนเส้นนั้นยังคงประดับอยู่ที่เดิมทั้งที่ตั้งใจว่าจะถอดก็ลืมเสียสนิท อากิระมองตามแล้วถือโอกาสบอกคืน
“จริงสิ ผมรับของนี่ไว้ไม่ได้หรอกคุณเอาคืนไปเถอะ”
“ไม่ได้” ร่างสูงจุมพิตริมฝีปากบางเบาๆ“ห้ามถอดเด็ดขาด ไม่งั้น...ฉันจะทำโทษ”
เรียวลิ้นที่เข้ามาระรานทำให้เด็กหนุ่มเผยอรับกระหวัดพัวพันยวนยั่วดูดกลืนกันและกันตั้งแต่เมื่อไรนะที่ความสัมพันธ์ทางกายดำเนินไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ขัดเขินเรียวแขนกลมกลึงสอดโอบแนวบ่ากว้าง จิกเล็บเบาๆคล้ายเป็นหลักยึดหยัดแผ่นหลังเข้าหาทุกครั้งที่มือและปากวนเวียนไปถึงจุดไวต่อการรับสัมผัสน้ำหนักกับร่างกายกำยำที่ทาบทับอึดอัดอยู่บ้างก็จริง...หากจะว่าไปแล้ว...มันก็อบอุ่น...
**********
อากิระเดินถ่วงฝีเท้าไปตามทางอย่างหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเขาเพิ่งลงจากรถยนต์นอกคันหรูหลังจากยืนกรานกับไคโตะว่าจะให้ส่งแค่ตรงถนนใหญ่เท่านั้นก็ขืนให้เพื่อนๆเห็นอีกจะได้โดนกระหน่ำยิงคำถามเอาปะไร เด็กหนุ่มปิดปากหาวหวอดทั้งเพลียทั้งเมื่อย จริงอยู่ที่เมื่อคืนนี้ได้เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มแต่หลังจากกิจกรรมอย่างว่ารอบแล้วรอบเล่าจนค่ำนะ ตาลุงอายุเฉียด 30 นั่นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันเยอะแยะ?
“ฮามาโนะคุง” นิ้วเรียวของเด็กสาวจิ้มหลังดังจึ้กเล่นเอาสะดุ้งโหยงด้วยไม่ทันตั้งตัว
“ฟูจิฮาระ ตกใจหมด”
“อรุณสวัสดิ์นะ” คิดมากไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่นัยน์ตากลมโตดูมีแววค้อนขึ้งอยู่กลายๆ
“อรุณสวัสดิ์”
“ไปเที่ยวมาสนุกไหมล่ะ?” เอ่ยพลางแกว่งกระเป๋าซึ่งห้อยตุ๊กตุ่นตุ๊กตาพวงใหญ่เดินเคียงผ่านเข้าประตูโรงเรียน
“ก็...” ไม่ต้องสงสัยเจ้าหล่อนต้องรู้เรื่องที่ไคโตะมารับเขาเย็นวันศุกร์แน่ๆ
“ไม่ต้องบอกก็รู้” ริมฝีปากจิ้มลิ้มยื่นงอน “คงสนุกมากล่ะสิถึงไม่โทรหาสักครั้ง แถมโทรศัพท์ก็ปิด”
พูดแล้วก็ทำให้นึกได้หล่อนว่าจะนัดเขาเที่ยววันเสาร์นี่หว่า อากิระปั้นยิ้ม
“ขอโทษนะ มันกระทันหันน่ะ พอดีฉันเริ่มทำงานพิเศษ”
“งานพิเศษ?”
“อาฮะ ก็เลยต้องปิดมือถือน่ะเดี๋ยวเขาว่า”
อันที่จริงเรื่องงานพิเศษนี่เป็นเรื่องที่เขาบังคับให้ชายหนุ่มออกไอเดียแก้ต่างมาเสียดีๆสรุปมาลงตัวที่ว่าอากิระทำงานพิเศษที่โรงแรมซึ่งได้ค่าจ้างงามและวันนั้นที่มารับคือไคโตะในฐานะเจ้านาย(กำมะลอ)จะไปคุยกับผู้ปกครองให้เท่านั้นไม่มีอะไรพิเศษ
หลังจากพล่ามเหตุผลแก้ตัวที่กุขึ้นมาเรียบร้อยแล้วฟูจิฮาระก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน อากิระรับปากว่าจะไปเที่ยวกับเธอเย็นวันพุธก่อนจะพากันแยกย้ายเข้าห้องเรียนของแต่ละฝ่าย
“โอ๊สท์ อรุณสวัสดิ์” นาโอมิจิกับคาซึโอะทัก
“อรุณสวัสดิ์พวกนายมาทำอะไรห้องฉันวะ”
“มาไม่ได้เหรอวะ ไร้ไมตรีจริงแกนี่”คาซึโอะว่า
ร่างบางหัวเราะน้อยๆ วางกระเป๋าแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งคุยด้วย
“แล้วไง?”
“แล้วไงอะไร?” อากิระแกล้งยวนเขารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนๆต้องอยากถามที่มาของราชรถเมื่อเย็นนั้น
“มหาเศรษฐีที่เขารับแกเป็นลูกบุญธรรมไงไปเจอกันที่ไหนวะ หรือว่านายมีปานแดงที่ก้นเขาเลยรู้ว่าเป็นทายาทหมื่นล้านที่พลัดพรากไปตั้งแต่เกิด?”
“คาซึโอะแกดูละครน้ำเน่ามากไปแล้วโว้ย” ร่างบางอดไม่ไหวยกขายันเก้าอี้ไปหนึ่งที“มันก็แค่...”
เด็กหนุ่มเล่าเรื่องที่เมคขึ้นให้ฟังอีกครั้งแบบคล่องปากไม่อยากจะคุยหรอกนะแต่เรื่องตอหลดตอแหลนี่ยกให้เขาได้เลยใบหน้าใสซื่อแบบนี้หลอกคนมาได้นักต่อนักแล้ว
“เหรอแล้วนายคิดยังไงถึงไปทำงานพิเศษเอาตอนนี้ล่ะ?” นาโอมิจิถามบ้าง
“ก็...เผื่อว่ามันไปรอดเรียนจบแล้วฉันอาจจะออกมาทำงานเลยก็ได้น่ะ”
“เอางั้นเลยเหรอ พ่อนายว่าไง?”
“ฉันบอกแค่ทำงานพิเศษไปก่อนแล้วไค...เอ่อ เจ้านายฉันน่ะ รับปากว่าถ้าไม่เข้ามหาวิทยาลัยก็จะให้งานทำที่โรงแรมแน่ๆ”
“เออ...ก็ดีนะ” คาซึโอะพยักหน้าเห็นด้วยเขาเองก็คิดจะเรียนพวกวิชาชีพมากกว่าเข้ามหาวิทยาลัย
“ดีมันก็ดีหรอก...อ้าว จินอรุณสวัสดิ์”
“เออ อรุณสวัสดิ์” จินไนทักตอบนาโอมิจิ
“ไงจิน เกือบมาไม่ทันแน่ะ สายเชียว”
“นายไม่ต้องมาพูดดีเลยอากิระ”เด็กหนุ่มชี้นิ้วคาดโทษ “มีอะไรเดี๋ยวนี้หัดปิดบังเพื่อนฝูงนะเดี๋ยวก่อนเหอะ เดี๋ยวฉันจะซักนายให้สะอาดเลย”
ปากพูดแบบนั้นแต่แทนที่จะคาดคั้นต่อกลับรีบคว้าเอาสมุดการบ้านขึ้นมาเตรียมพร้อม
“เอ้า ไถ่โทษเอาเลขมาให้ฉันลอกซะดีๆ”
“ไม่เคยทำเสร็จเลยใช่มั้ยนี่”อากิระค้นให้แต่โดยดี “เอ้า แถมภาษาอังกฤษด้วยเอาไป”
“เฮ้ เป็นไปได้ไง นายทำเสร็จเหรอหรือว่าเพิ่งมาลอกใครที่นี่?” จินไนคว้ามาพลิกเปิดดูสมุดการบ้านภาษาอังกฤษที่ทำมาอย่างเรียบร้อยผิดกับทุกครั้งที่เจ้าเพื่อนตัวแสบต้องมาขอผู้หญิงในห้องลอกทุกทีไป
“ทำไม ฉันจะขยันมั่งไม่ได้เรอะ?”คิ้วเรียวยักแผล่บ
คนได้ฟังยักไหล่ยังไงก็ช่างขอให้มีลอกก็พอแล้ว
“โอเค งั้นพวกฉันกลับห้องนะตอนพักเจอกัน” นาโอมิจิกับคาซึโอะเลื่อนเก้าอี้กลับที่
“โอเคถ้าโทรุถามก็อธิบายให้ฟังด้วยล่ะ ฉันขี้เกียจเล่าหลายที” ร่างบางโบกมือกระดุมสีทองตรงข้อมือชุดเอนอกของเครื่องแบบสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย
เด็กหนุ่มดึงมือกลับมาทำทีกอดอกลอบสำรวจกระดุมเม็ดหนึ่งที่เปลี่ยนไปแทนที่จะเป็นกระดุมประทับตราสัญลักษณ์โรงเรียนเคียวเซย์เหมือนเม็ดอื่นๆมันกลับเป็นกระดุมที่ประทับลวดลายเปลวไฟและคันจิง่ายๆสองตัวแต่สลักให้มีความซับซ้อนสวยงาม เป็นคำว่า ‘สีดำ’ และ ‘ทุ่ง’ อ่านรวมกันคือ ‘คุโรดะ’ ริมฝีปากบางยกยิ้มซุกซนเมื่อนึกถึงตอนที่แอบหยิบมาจากกล่องใส่ของชิ้นเล็กๆอย่างกระดุมและคลิบหนีบกระดาษที่วางบนโต๊ะทำงานของร่างสูง...
แหม...ก็มันเท่ดีนี่นา...เนอะ
**********
เอกสารกองพะเนินบนโต๊ะเพิ่งจะถูกสะสางไปได้ครึ่งเดียวเท่านั้นไคโตะกดเรียกผู้ช่วยให้เอากาแฟมาเสิร์ฟก่อนเอนหลังพิงพนักนุ่มของเก้าอี้ทำงานตัวโตแล้วพักสูบซิการ์แก้เครียดไปพลางนอกจากมีประชุมแต่เช้าแล้วยังต้องรับลูกค้าชาวต่างชาติอีก และถ้าเขาฟังไม่ผิดเย็นนี้ก็มีเลี้ยงรับรองอะไรสักอย่างที่เลขาฯของเขาแนะนำว่าควรจะโผล่หน้าไปสักแวบ “เอ้า เรียบร้อย” ยากุซ่าหนุ่มผู้ซึ่งไม่เหมาะกับกระทะและตะหลิวเอาเสียเลยช้อนข้าวผัดห่อไข่ใส่จานกระเบื้องแล้วยกมาวางให้คนที่จิบน้ำผลไม้รอกินข้าวเช้าอยู่
ข้าวห่อไข่หน้าตาน่ารับประทานที่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาจะไม่เชื่อเด็ดขาดว่าใครเป็นพ่อครัวอากิระก้มมองพิจารณาครู่หนึ่งก่อนใช้ช้อนตักชิม
“อืม...อร่อย” ข้าวผัดที่ใช้เนยแทนน้ำมันแถมตีผสมนมลงไปในใข่เล็กน้อยทั้งหอมทั้งมันมีรสเปรี้ยวนิดๆของมะเขือเทศสดหั่นด้วย น่าทึ่งจริงๆให้ตาย
“ใช่ไหมล่ะ” ไคโตะรับด้วยความภูมิใจเขาคลุกน้ำสลัดกับผักที่หั่นเตรียมแล้วในชามใบใหญ่ก่อนตักแบ่งแล้วลงมือรับประทานพร้อมกัน “ฉันไม่ได้บอกให้แม่บ้านเข้ามาทำงานวันนี้เพราะงั้นเชิญชิมฝีมือฉันไปก่อนก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มโคลงศีรษะขณะที่ลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
“ดูคุณไม่น่าทำกับข้าวเป็นเลยนะ”
“ก็คงงั้น แต่ฉันไปเรียนมหา’ลัยที่อังกฤษ อยู่คนเดียวมันก็ต้องทำให้เป็นจนได้แหละ”
คิ้วเรียวเลิกสูงทำกับข้าวว่าไม่น่าเชื่อแล้ว เป็นนักเรียนนอกยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปใหญ่เลยแฮะ
“ทำหน้าแบบนั้น ไม่เชื่อสิ?”
“เปล่า” เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่จะว่าไปเรื่องรสนิยมหรู สูบซิการ์ จิบไวน์ ขับปอร์ชนี่ก็สมควรอยู่หรอกแต่พูดถึงยากุซ่าเป็นนักเรียนนอกแล้วมันขัดๆยังไงชอบก๊ล
ร่างสูงเหล่ๆ แต่ออกไปในทางขบขำมากกว่ารู้สึกผ่อนคลายที่บรรยากาศดีๆกลับคืนมาแล้ว
“แล้วคุณไปอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน?”
“จนจบปริญญาตรี” เขาเว้นจังหวะเพื่อกลืนข้าว “แล้วกลับมาเรียนโทที่ญี่ปุ่นนี่”
จบสูงเสียด้วยแฮะฝ่ายได้ฟังนึกชื่นชมอยู่ในใจ
“แล้วเธอล่ะ เอนทรานซ์ปีนี้ไม่ใช่หรือ?”
“อืม ก็ใช่ แต่ก็ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้สิหมายความว่าไง?”
“ก็...ผมไม่รู้ว่าผมอยากเข้ามหา’ลัยหรือเปล่า คือมัน...ไม่มีอะไรที่อยากทำหรืออยากเรียนเป็นพิเศษน่ะ”ว่าพลางยักไหล่
นี่แหละปัญหาของเด็กรุ่นใหม่ทำอะไรตามๆกันเหมือนๆกันจนเคยชิน ทั้งเรื่องเรียนเรื่องเที่ยวจบแล้วต้องเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เข้าทำงานบริษัทหาเช้ากินค่ำเหมือนหุ่นยนต์สูญเสียระบบความคิดอิสระ กลัวความแตกต่าง ขาดความฝันและความคิดสร้างสรรค์หลายคนที่ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าทั้งที่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการทำอะไร
“เข้าใจล่ะ” ไคโตะรวบช้อนเมื่อกวาดข้าวทุกเม็ดจนเกลี้ยง“แล้วเธอมีความถนัดทางด้านไหน?”
ร่างบางเอียงคอครุ่นคิด แล้วตอบติดตลก
“กวนส้นชาวบ้านป้ายยาฉกกระเป๋าตังค์ แล้วก็หลีหญิงมั้ง”
“นั่นน่ะเป็นความสามารถที่จะต้องโยนทิ้งไปได้เลยนะ”ชายหนุ่มชี้นิ้วกึ่งปรามกึ่งคาดโทษ
“ล้อเล่นน่า” อากิระรีบบอก“ถ้าหมายถึงเรื่องเรียน ผมเก่งพวกคำนวนน่ะ”
“ก็ดีนี่” มือใหญ่คว้ามีดกับแอ๊ปเปิ้ลขึ้นมาปอกผ่าส่งให้อีกฝ่ายกินล้างปากหลังจากกินอาหารทุกอย่างจนหมดเกลี้ยงดี “ไม่สนใจเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ หรือบัญชีมั่งเหรอ?”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นรับชิ้นผลไม้หวานกรอบมากัดเคี้ยวไปพลางคิดตาม บัญชีเหรอ...ก็ไม่เลวนะ?
“ว่าแต่ของที่ไม่ถนัดล่ะ?”
“ภาษาอังกฤษ” คราวนี้ตอบได้โดยไม่ต้องคิด“วรรณคดีญี่ปุ่นด้วย”
“อืม...ถ้าเป็นภาษาอังกฤษฉันติวให้ก็ได้”
“หา?” ริมฝีปากบางอ้าค้างตกตะลึงแบบจริงใจมากไปนิดทำให้คนเสนอตัวเขม่นมาอีกเป็นรอบที่สองเล่นเอาอากิระต้องรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแหย “อ่า...ขอบคุณครับ”
“ก่อนอื่น ทำการบ้านเสียก่อนเถอะมีภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอ?”
นัยน์ตาคู่สวยตวัดค้อนเล็กน้อย
“รู้ได้ไงน่ะ แอบเปิดเป้ผมสิท่า?”
ไคโตะได้ทีส่งยิ้มกวนๆกลับบ้าง คนตัวเล็กเลยหน้ามุ่ย
“เถอะน่า ไปเอาการบ้านมาทำได้แล้ว”
เด็กหนุ่มแอบทำปากยื่นหมั่นไส้คนที่วางท่าเป็นผู้ปกครองแต่ก็เดินไปค้นเครื่องเขียนกับสมุดการบ้านออกมาจากกระเป๋าในขณะที่อีกฝ่ายย้ายที่นั่งไปตรงชุดโซฟารับแขกตัวใหญ่แบบนอนเหยียดตัวได้สบายโดยอุ้มดัชเชสส์ตามมาด้วย
“ถ้าผมสอบตกต้องรับผิดชอบด้วยนะ”
ร่างบางเข้ามานั่งข้างทิ้งระยะงไว้พอประมาณ ปากก็บ่นไปอย่างนั้นเอง แต่เพิ่งมานึกได้ว่าไม่น่าเลยเพราะหันไปสบสายตาแฝงเลศนัยนั่นเข้าพอดี เรียวปากได้รูปยิ้มกริ่ม
“รับรองน่า...รับผิดชอบแน่”
**********
“ผิด”
“ตรงไหน?” เสียงใสๆเถียงทันควันเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดแน่
“นี่ไง ‘were’ ต้องเป็น ‘was’ สิ” มือใหญ่จับปากกามาชี้ให้เห็น
“เฮอะ” เด็กหนุ่มทำเสียงได้ใจกว่าเดิมสงสัยได้ลูบคมนักเรียนนอกก็คราวนี้แหละ “ ‘Majorities’ เป็นพหูพจน์ชัดๆผมเติมผิดซะที่ไหน”
“ ‘The Majorities’ ต่างหากมั่วจริง เติม ‘The’ เข้าไปคำนี้ก็กลายเป็นเอกพจน์ ต้องใช้ ‘was’ถึงจะถูก สอนแล้วยังเถียงอีก”
“ก็...บอกแล้วว่าไม่เก่งนี่ตัวเองจบนอกมาจะไปสู้ได้ไง” อากิระบ่นอุบอิบพลางเอาลิควิดมาลบแก้โดยที่คงลืมไปแล้วมั้งว่าเมื่อครู่ตัวเองเถียงเอาฉอดๆ
ชายหนุ่มมองแล้วส่ายหน้าขำๆเหลือบดูนาฬิกาตั้งโต๊ะก็เกือบได้เวลาอาหารกลางวันแล้วเขาเดินไปหยิบโทรศัพท์หัวเตียง กดหมายเลขสั่งรายการอะไรอยู่ไม่กี่ประโยคก็วางพอหันกลับมาเห็นคิ้วเรียวเลิกเป็นเชิงถามเลยอธิบาย
“ของในตู้เย็นไม่ค่อยมีฉันเลยโทรสั่งพิซซ่าจากร้านอาหารอิตาเลียนแถวๆนี้ ปกติเขาไม่ได้มีบริการส่งหรอกนะแต่พอดีเป็นลูกค้าประจำกันอยู่”
คนที่นั่งทำการบ้านอยู่พยักหน้ารับรู้มือก็เขียนยิกๆ
“ใกล้เสร็จหรือยัง?” ไคโตะชะโงกหน้าเข้ามาดู
“เหลือแต่แปลข่าวครับ” เขายื่นชีทในมือให้อ่าน
“ไหน อืม...Veteran LabourMP Tam Dalyell called for a "firm and early" date to be set forBritish troops to withdraw from Iraq because they were seen an army ofoccupation…”
นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองริมฝีปากที่ขยับอ่านอย่างคล่องแคล่วถึงจะรู้สึกแปลกๆกับอาจารย์จำเป็นแต่ก็ต้องยอมรับว่าไคโตะสอนได้เข้าใจง่ายดีทีเดียวแถมยังอธิบายในจุดที่เขาไม่รู้เรื่องได้หมดไม่ว่าจะเป็นรูปประโยคแม้กระทั่งรากศัพท์ สมกับที่จบมาจากอังกฤษโน่นที่สำคัญสำเนียงกินขาดจนน่าหมั่นไส้เลยแหละ อ๊ะ...นี่ไม่ได้ชมหรอกนะ...
...
พอทำข้อสุดท้ายใกล้เสร็จ พิซซ่า 2 ถาดก็มาส่งพอดี ไคโตะเดินไปเปิดรับแต่คนที่มาส่งไม่ใช่เด็กส่งพิซซ่ากลับเป็นชายในชุดสูทดำที่ดูยังไงก็ยากุซ่าชัดๆคงเป็นลูกน้องในแก็งค์ เขายื่นส่งให้ด้วยความนอบน้อมแล้วหันกลับลงไปเงียบๆ
“มาแล้ว หน้าแซลมอนรมควันกับอีกอันเป็นแฮมเห็ด” แค่เปิดฝาพิซซ่าแผ่นบางตำรับอิตาเลียนแท้ก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเลยเชียว“ลองแล้วจะลืมพวกฟาสต์ฟู้ดไปเลยล่ะ”
ได้ยินคำโฆษณาสรรพคุณแล้วก็น้ำลายสอขึ้นมาทันควันเด็กหนุ่มใช้มือหยิบแผ่นแป้งบางหน้ามอสซาเรลล่าชีสโปะแซลมอนรมควันอุ่นๆส่งเข้าปากแล้วก็ต้องฮัมในคอเบาๆอย่างมีความสุขระหว่างที่อีกคนหยิบไซเดอร์รสผลไม้เปิดส่งให้แล้วจึงนั่งกินไปตรวจการบ้านที่เสร็จไปด้วย
“อา...โอเคแล้วไม่มีอย่างอื่นแล้วใช่ไหม?” ชายหนุ่มถามหลังตรวจทานเรียบร้อย
อากิระส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะปากยังเคี้ยวตุ้ย
ร่างสูงวางสมุดกับเครื่องเขียนแหมะไว้มุมหนึ่งของโต๊ะกดรีโมทโทรทัศน์เพื่อดูข่าวพลางลงมือกับมื้ออาหารกลางวันของตัวเองต่อโดยไม่ลืมแบ่งให้ดัชเชสส์ที่มาเกาะแข้งเกาะขาอ้อนอย่างน่ารักน่าชัง
“แมวของคุณ เลี้ยงมานานแล้วเหรอ?”
“ก็เกือบ 2 ปีทำไมหรือ?”
“เปล่าผมแค่นึกได้ว่าครั้งแรกที่มาที่นี่ทำไมไม่เห็นมัน” ร่างบางว่าก่อนคว้าแผ่นที่3 ขึ้นมากินต่อ
“อ๋อฉันเอามันลงไปฝากลูกน้องข้างล่างชั่วคราว” ชายหนุ่มเองก็กินเก่งไม่แพ้กันพิซซ่าแต่ละแผ่นหมดไปด้วยความรวดเร็ว “คือฉันกลัวว่าเธอจะจับมันเป็นตัวประกันน่ะ”
ฝ่ายได้ฟังย่นคิ้วใส่รอยยิ้มยั่วนั่นคนที่เป็นฝ่ายลักพาตัวมากักขังหน่วงเหนี่ยวน่ะไม่ใช่เขาเลยแท้ๆ
“การบ้านก็เสร็จแล้วจะออกไปเดินเที่ยวไหนมั้ย?” เขาเปลี่ยนเรื่องรวดเร็วตามแบบที่ถนัด
“ไม่เอา” เสียงใสตอบทันควันเขาไม่อยากเสี่ยงที่จะเจอใครให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยกับเมื่อคืนวานอีก
“งั้นจะทำอะไรดีล่ะ?”
“พาผมกลับบ้านเลยก็ได้นี่”
“ชุดนักเรียนก็มี จะรีบกลับทำไม”ไคโตะเขยิบเข้ามาใกล้ “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันไปส่งที่โรงเรียนเองน่า”
มือเล็กฉุดมือซุกซนที่มาป้วนเปี้ยนแถวเอวอย่างสังหรณ์ไม่ดี
“ไหนบอกไม่มีอะไรทำไม่ใช่เหรอ?”
“มีสิ” ยากุซ่าหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาแย่งพิซซ่าคำสุดท้ายไปจากมือเล็กทว่าไม่หยุดแค่กิน กลับแลบลิ้นเลียปลายนิ้วนั้นด้วยพออีกฝ่ายทำท่าจะดึงออกก็จับยึดไว้แล้วดูดหยอกเย้าเรียวนิ้วให้สยิวเล่นก่อนกระซิบเสียงกรุ้มกริ่ม
“เซ็กส์ไง”
“นี่! ปล่อยเลยนะลามก!” แก้มเนียนแดงเรื่อขึ้นมาทันที พยายามผลักยันไหล่หนาของคนที่เข้าประชิดถึงตัวด้วยความรวดเร็วน้ำหนักที่มากกว่ากดให้เขาเอนราบไปกับเบาะโซฟา
ร่างสูงไม่สนใจอาการขัดขืนเขาประทับริมฝีปากและเล็มตามเนียนแก้ม ปลายคาง ตลอดจนซอกคอหอมกรุ่น พลางอ้อนปนเย้า
“เมื่อวานไม่ได้ทำสักครั้งเลยนี่นาเห็นใจกันบ้างสิ”
“เห็นใจบ้าอะไร!คิดแต่เรื่องพรรค์นี้น่ะ อดอยากมาจากไหนหา?” พูดไปก็ต้องคอยหลบคอยรั้งทั้งที่ไม่ค่อยจะเป็นผลนัก
“เฮ้ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆพูดเหมือนไม่เข้าใจความต้องการของผู้ชายงั้นแน่ะ” ริมฝีปากหยักสวยยิ้มทะลึ่งมือไม้สอดเข้าไปป้วนเปี้ยนกับผิวเนื้อละเอียดใต้เสื้อยืดตัวหลวม
“อ๊ะ...อือออคุณมัน...หมกมุ่นเกินไปต่างหาก” แรงโต้แย้งเบาลงไปนิดเมื่อโดนปลายนิ้วหยาบคลึงผ่านยอดอก
“ผิดแล้วเวลาแบบนี้ฉันว่าเป็นการผ่อนคลายด้วยซ้ำนะ” ลิ้นร้อนตวัดไล้ใบหูนิ่มที่มีตุ้มหูเงินแบบห่วงและหมุดใส่ไว้ถึงสามรู“ถือซะว่าเป็นค่าสอนก็แล้วกัน”
นัยน์ตาคมตวัดค้อนขึ้งวางแผนไว้แบบนี้เองสินะ หลงนึกว่าใจดี ตาบ้า!
“แต่พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะแล้วนี่ก็กลางวันแสกๆด้วย!”
“แล้วไงล่ะ? ทำอย่างกับไม่เคยทำตอนกลางวันงั้นแหละ”ในที่สุดก็รูดดึงเสื้อยืดเนื้อหนาให้พ้นร่างเล็กไปจนได้
“เอ๊ะ! คุณนี่...” เด็กหนุ่มเถียงไม่ออก ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำจริงๆนี่นะ
“เถอะน่า”
ไคโตะเชยคางมนขึ้นจุมพิตปิดปากสองมือคลึงเค้นไปตามแนวชายโครงจนเมื่อร่างข้างใต้ลดแรงต่อต้านลงไปแล้วจึงค่อยจูบไซ้ลงมาที่ลำคอระหงเขาหยุดการเคลื่อนไหวไปนิดหนึ่งเมื่อพบกับสายสร้อยโลหะที่คล้องอยู่ ปลายนิ้วสอดเกี่ยวมันขึ้นมาดูชัดๆ
สร้อยแพลตินั่มที่ร้อยแหวนเส้นนั้นยังคงประดับอยู่ที่เดิมทั้งที่ตั้งใจว่าจะถอดก็ลืมเสียสนิท อากิระมองตามแล้วถือโอกาสบอกคืน
“จริงสิ ผมรับของนี่ไว้ไม่ได้หรอกคุณเอาคืนไปเถอะ”
“ไม่ได้” ร่างสูงจุมพิตริมฝีปากบางเบาๆ“ห้ามถอดเด็ดขาด ไม่งั้น...ฉันจะทำโทษ”
เรียวลิ้นที่เข้ามาระรานทำให้เด็กหนุ่มเผยอรับกระหวัดพัวพันยวนยั่วดูดกลืนกันและกันตั้งแต่เมื่อไรนะที่ความสัมพันธ์ทางกายดำเนินไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ขัดเขินเรียวแขนกลมกลึงสอดโอบแนวบ่ากว้าง จิกเล็บเบาๆคล้ายเป็นหลักยึดหยัดแผ่นหลังเข้าหาทุกครั้งที่มือและปากวนเวียนไปถึงจุดไวต่อการรับสัมผัสน้ำหนักกับร่างกายกำยำที่ทาบทับอึดอัดอยู่บ้างก็จริง...หากจะว่าไปแล้ว...มันก็อบอุ่น...
**********
อากิระเดินถ่วงฝีเท้าไปตามทางอย่างหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเขาเพิ่งลงจากรถยนต์นอกคันหรูหลังจากยืนกรานกับไคโตะว่าจะให้ส่งแค่ตรงถนนใหญ่เท่านั้นก็ขืนให้เพื่อนๆเห็นอีกจะได้โดนกระหน่ำยิงคำถามเอาปะไร เด็กหนุ่มปิดปากหาวหวอดทั้งเพลียทั้งเมื่อย จริงอยู่ที่เมื่อคืนนี้ได้เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มแต่หลังจากกิจกรรมอย่างว่ารอบแล้วรอบเล่าจนค่ำนะ ตาลุงอายุเฉียด 30 นั่นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันเยอะแยะ?
“ฮามาโนะคุง” นิ้วเรียวของเด็กสาวจิ้มหลังดังจึ้กเล่นเอาสะดุ้งโหยงด้วยไม่ทันตั้งตัว
“ฟูจิฮาระ ตกใจหมด”
“อรุณสวัสดิ์นะ” คิดมากไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่นัยน์ตากลมโตดูมีแววค้อนขึ้งอยู่กลายๆ
“อรุณสวัสดิ์”
“ไปเที่ยวมาสนุกไหมล่ะ?” เอ่ยพลางแกว่งกระเป๋าซึ่งห้อยตุ๊กตุ่นตุ๊กตาพวงใหญ่เดินเคียงผ่านเข้าประตูโรงเรียน
“ก็...” ไม่ต้องสงสัยเจ้าหล่อนต้องรู้เรื่องที่ไคโตะมารับเขาเย็นวันศุกร์แน่ๆ
“ไม่ต้องบอกก็รู้” ริมฝีปากจิ้มลิ้มยื่นงอน “คงสนุกมากล่ะสิถึงไม่โทรหาสักครั้ง แถมโทรศัพท์ก็ปิด”
พูดแล้วก็ทำให้นึกได้หล่อนว่าจะนัดเขาเที่ยววันเสาร์นี่หว่า อากิระปั้นยิ้ม
“ขอโทษนะ มันกระทันหันน่ะ พอดีฉันเริ่มทำงานพิเศษ”
“งานพิเศษ?”
“อาฮะ ก็เลยต้องปิดมือถือน่ะเดี๋ยวเขาว่า”
อันที่จริงเรื่องงานพิเศษนี่เป็นเรื่องที่เขาบังคับให้ชายหนุ่มออกไอเดียแก้ต่างมาเสียดีๆสรุปมาลงตัวที่ว่าอากิระทำงานพิเศษที่โรงแรมซึ่งได้ค่าจ้างงามและวันนั้นที่มารับคือไคโตะในฐานะเจ้านาย(กำมะลอ)จะไปคุยกับผู้ปกครองให้เท่านั้นไม่มีอะไรพิเศษ
หลังจากพล่ามเหตุผลแก้ตัวที่กุขึ้นมาเรียบร้อยแล้วฟูจิฮาระก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน อากิระรับปากว่าจะไปเที่ยวกับเธอเย็นวันพุธก่อนจะพากันแยกย้ายเข้าห้องเรียนของแต่ละฝ่าย
“โอ๊สท์ อรุณสวัสดิ์” นาโอมิจิกับคาซึโอะทัก
“อรุณสวัสดิ์พวกนายมาทำอะไรห้องฉันวะ”
“มาไม่ได้เหรอวะ ไร้ไมตรีจริงแกนี่”คาซึโอะว่า
ร่างบางหัวเราะน้อยๆ วางกระเป๋าแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งคุยด้วย
“แล้วไง?”
“แล้วไงอะไร?” อากิระแกล้งยวนเขารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนๆต้องอยากถามที่มาของราชรถเมื่อเย็นนั้น
“มหาเศรษฐีที่เขารับแกเป็นลูกบุญธรรมไงไปเจอกันที่ไหนวะ หรือว่านายมีปานแดงที่ก้นเขาเลยรู้ว่าเป็นทายาทหมื่นล้านที่พลัดพรากไปตั้งแต่เกิด?”
“คาซึโอะแกดูละครน้ำเน่ามากไปแล้วโว้ย” ร่างบางอดไม่ไหวยกขายันเก้าอี้ไปหนึ่งที“มันก็แค่...”
เด็กหนุ่มเล่าเรื่องที่เมคขึ้นให้ฟังอีกครั้งแบบคล่องปากไม่อยากจะคุยหรอกนะแต่เรื่องตอหลดตอแหลนี่ยกให้เขาได้เลยใบหน้าใสซื่อแบบนี้หลอกคนมาได้นักต่อนักแล้ว
“เหรอแล้วนายคิดยังไงถึงไปทำงานพิเศษเอาตอนนี้ล่ะ?” นาโอมิจิถามบ้าง
“ก็...เผื่อว่ามันไปรอดเรียนจบแล้วฉันอาจจะออกมาทำงานเลยก็ได้น่ะ”
“เอางั้นเลยเหรอ พ่อนายว่าไง?”
“ฉันบอกแค่ทำงานพิเศษไปก่อนแล้วไค...เอ่อ เจ้านายฉันน่ะ รับปากว่าถ้าไม่เข้ามหาวิทยาลัยก็จะให้งานทำที่โรงแรมแน่ๆ”
“เออ...ก็ดีนะ” คาซึโอะพยักหน้าเห็นด้วยเขาเองก็คิดจะเรียนพวกวิชาชีพมากกว่าเข้ามหาวิทยาลัย
“ดีมันก็ดีหรอก...อ้าว จินอรุณสวัสดิ์”
“เออ อรุณสวัสดิ์” จินไนทักตอบนาโอมิจิ
“ไงจิน เกือบมาไม่ทันแน่ะ สายเชียว”
“นายไม่ต้องมาพูดดีเลยอากิระ”เด็กหนุ่มชี้นิ้วคาดโทษ “มีอะไรเดี๋ยวนี้หัดปิดบังเพื่อนฝูงนะเดี๋ยวก่อนเหอะ เดี๋ยวฉันจะซักนายให้สะอาดเลย”
ปากพูดแบบนั้นแต่แทนที่จะคาดคั้นต่อกลับรีบคว้าเอาสมุดการบ้านขึ้นมาเตรียมพร้อม
“เอ้า ไถ่โทษเอาเลขมาให้ฉันลอกซะดีๆ”
“ไม่เคยทำเสร็จเลยใช่มั้ยนี่”อากิระค้นให้แต่โดยดี “เอ้า แถมภาษาอังกฤษด้วยเอาไป”
“เฮ้ เป็นไปได้ไง นายทำเสร็จเหรอหรือว่าเพิ่งมาลอกใครที่นี่?” จินไนคว้ามาพลิกเปิดดูสมุดการบ้านภาษาอังกฤษที่ทำมาอย่างเรียบร้อยผิดกับทุกครั้งที่เจ้าเพื่อนตัวแสบต้องมาขอผู้หญิงในห้องลอกทุกทีไป
“ทำไม ฉันจะขยันมั่งไม่ได้เรอะ?”คิ้วเรียวยักแผล่บ
คนได้ฟังยักไหล่ยังไงก็ช่างขอให้มีลอกก็พอแล้ว
“โอเค งั้นพวกฉันกลับห้องนะตอนพักเจอกัน” นาโอมิจิกับคาซึโอะเลื่อนเก้าอี้กลับที่
“โอเคถ้าโทรุถามก็อธิบายให้ฟังด้วยล่ะ ฉันขี้เกียจเล่าหลายที” ร่างบางโบกมือกระดุมสีทองตรงข้อมือชุดเอนอกของเครื่องแบบสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย
เด็กหนุ่มดึงมือกลับมาทำทีกอดอกลอบสำรวจกระดุมเม็ดหนึ่งที่เปลี่ยนไปแทนที่จะเป็นกระดุมประทับตราสัญลักษณ์โรงเรียนเคียวเซย์เหมือนเม็ดอื่นๆมันกลับเป็นกระดุมที่ประทับลวดลายเปลวไฟและคันจิง่ายๆสองตัวแต่สลักให้มีความซับซ้อนสวยงาม เป็นคำว่า ‘สีดำ’ และ ‘ทุ่ง’ อ่านรวมกันคือ ‘คุโรดะ’ ริมฝีปากบางยกยิ้มซุกซนเมื่อนึกถึงตอนที่แอบหยิบมาจากกล่องใส่ของชิ้นเล็กๆอย่างกระดุมและคลิบหนีบกระดาษที่วางบนโต๊ะทำงานของร่างสูง...
แหม...ก็มันเท่ดีนี่นา...เนอะ
**********
กาแฟมาถึงพร้อมกับเอกสารอีกหนึ่งแฟ้มเล็กนัยน์ตาดำรีหรี่มองชายร่างโปร่งที่ยังคงนิ่งเฉย
“ทำไมงานวันนี้มันมากจังล่ะหา?”
“ก็ท่านประธานเลิกงานเมื่อวันศุกร์เร็วแล้วเสาร์ท่านก็ให้ผมเลิกตารางงาน มันก็ต้องมารวบยอดโปะเอาวันนี้แหละครับ” คิระตอบเรียบๆ
“วันเสาร์ฉันก็อุตส่าห์ปลีกตัวไปประชุมย่อยกับตัวแทนบริษัทไอจิแล้วไงล่ะ”
“พูดถึงเรื่องนี้หัวหน้าฝ่ายมิจิบะฝากไวน์โรมาเน่ กองติปี 90 มาให้ด้วยครับบอกว่าเป็นการขอโทษที่เสียมารยาท”
คิ้วเข้มขมวดเมื่อนึกถึงตัวการที่ทำลายบรรยากาศเมื่อคืนนั้นถ้าไม่เห็นแก่ความที่เป็นคู่ค้ากันซ้ำเป็นคนธรรมดานอกวิถียากุซ่าแล้วล่ะก็ป่านนี้...
“อีกเรื่อง...ท่านประธานไม่ควรให้ผู้ติดตามแยกไปงตัวนักนะครับเรื่องนี้ควรจะเป็นพื้นฐานการระวังภัยอันดับแรกแท้ๆ”
“รู้แล้วน่า” เขาพ่นลมออกจมูกแบบรำคาญ“ฉันเองก็ไม่ได้บอกห้ามนี่ แค่ให้อยู่งหน่อยขืนไปไหนก็มีแต่คนติดตามฝูงใหญ่...เดี๋ยวเขาก็กลัวกันหมด”
ไม่ต้องลงสัยเลยว่า ‘เขา’ น่ะใคร
“เออต่อไปนี้ให้ติดตามเหมือนอย่างเคยก็แล้วกัน” ไคโตะรีบรับเมื่อเห็นคิระมองลอดแว่นจ้องมาสายตาตำหนิแบบนิ่งเงียบนี่มันกวนโมโหเสียไม่มีล่ะ
“อ้อบ่ายพรุ่งนี้ท่านประธานสมาพันธ์ฯนัดเลี้ยงน้ำชาด้วยครับ”
แก้วกาแฟที่กำลังจรดริมฝีปากชะงักประธานสมาพันธ์เขตคันโตคือคุโรดะ มาซาฮิเดะ หรือลุงแท้ๆของเขานั่นเองคงจะไม่เป็นการเกินไปถ้าจะพูดว่าชายหนุ่มคือหลานคนโปรดที่ลุงเอ็นดูยิ่งกว่าลูกในไส้เสียอีกแต่นั่นอาจเป็นเพราะลูกที่เกิดจากภรรยาหลวงเป็นผู้หญิงส่วนลูกที่เกิดจากภรรยาน้อยดันเป็นผู้ชายเลยวางตัวไม่ถูกว่าควรจะรักลูกรักเมียคนไหนดีกระนั้นมาซาฮิเดะก็เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมและน่าเกรงขามตามแบบฉบับของวิถีลูกผู้ชาย
“ถ้าอย่างนั้นก็จัดของเยี่ยมเสียหน่อยเอาเป็นอุเมะฉุ (เหล้าบ๊วย) กับขนมญี่ปุ่นร้านโทวะที่กินซ่าก็แล้วกัน”
“ทราบแล้วครับ” เขาก้าวเข้ามาวางเอกสารเพิ่มให้ที่กอง “ส่วนสูทไซส์เล็กที่สั่งตัดเอาไว้ทางคุณโมริแจ้งมาว่าจะเสร็จทันปลายสัปดาห์”
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าสูทพวกนั้นไคโตะใส่ไม่ได้แน่นอนก็ยังจะย้ำคำว่าไซส์เล็กให้สะกิดใจเล่นเสียอีกหากคบกันมานานพอจะรู้ว่านี่ล่ะคือการแซวตามแบบฉบับของคิระ ประธานหนุ่มส่ายหัว
“ตกลง จะไปไหนก็ไปได้แล้วฉันจะทำงาน”
มือใหญ่โบกไล่เอาดื้อๆก่อนจะคว้าเอกสารมาเปิดอ่านทำทีเคร่งเครียด ซึ่งคุณเลขาฯก็ไวพอที่จะเดินออกนอกห้องไปจริงๆก่อนเจ้านายจะของขึ้นด้วยข้อหาพูดจาถูกต้องมากเกินไป
...
ประธานบริษัทคุโรดะได้เงยหน้าจากกองงานอีกทีก็ล่วงเวลาบ่าย4 แล้วไม่รู้ทำไมถึงเวลานี้มันจะรู้ตัวขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติปลายนิ้วลูบคางนั่งคิดอะไรพักหนึ่ง ก่อนล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด...
[“ครับ?”]
ปลายสายที่รับเร็วทำให้ไคโตะยิ้มออก
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนน่ะ?”
[“ก็อยู่ที่โรงเรียนสิ ถามแปลก”]เสียงใสๆยียวนกลับมา
“เลิกเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
[“ก็ใช่แต่วันนี้ผมเป็นเวรทำความสะอาด”] เสียงแบคกราวน์ที่ดังกึงๆนี่คือเสียงลากถังขยะลงบันไดเองสินะ
“วันพุธเลิกเร็วใช่ไหม กี่โมงน่ะ?”
[“บ่าย 3:30 ทำไมเหรอครับ?”]
“ก็...” เขาเว้นจังหวะใช้ความคิดหาข้ออ้างพักหนึ่ง“วันนั้นสูทที่สั่งตัดอาจจะเสร็จแล้วเลยอยากให้มาลองดูว่าพอดีมั้ย”
[“อืมม...”] เด็กหนุ่มอ้อมๆแอ้มๆพูดเสียงอ่อย [“วันพุธผมมีนัดแล้ว”]
“นัดไปเที่ยวกับเพื่อน หรือว่า...”ร่างสูงแกล้งทำเสียงเข้มข่มขู่เล็กน้อย
[“กับ...เพื่อน”] เว้นไปอึดใจ [“ผู้หญิง”]
คิ้วเข้มขมวดกระตุกท่าทางจะเป็นเด็กสาวเมื่อวันนั้นแน่
“ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า?”
[“ใช่...แต่อย่าเพิ่งโกรธนะ”]อากิระรีบบอก เผลอทำเสียงอ้อนไม่รู้ตัว [“แค่ไปเที่ยวเฉยๆจริงๆไม่มีอะไรกันเสียหน่อย”]
ถ้อยคำแก้ตัวที่ฟังแล้วน่ารักเกินคาดชวนให้ใจอ่อนอยู่ไม่น้อยไคโตะลองแกล้งเงียบดู
[“นี่...”] อีกฝ่ายเริ่มกระวนกระวาย[“ยังอยู่หรือเปล่าน่ะ?”]
“...”
[“แค่ไปเดินแถวชิบุยะเอง ผมจะกลับบ้านไม่เกินทุ่มน่ารับรองได้เลย”]
“6 โมงเย็น” เขาต่อรอง
[“6 โมงครึ่งละกันเนี่ยเร็วจะแย่แล้วนะ”]
“หึๆ ก็ได้ ยกให้ครั้งหนึ่งแต่คราวหน้าไม่มีอีกแล้วนะ”
[“รู้แล้ว บังคับกันจัง”] เสียงบ่นงึมงำไม่จริงจังนัก [“เท่านี้ก่อนนะฮะเพื่อนผมรออยู่”]
“อืม แล้วเจอกัน”
ปลายสายกดวางไปแล้วมือใหญ่พับปิดฝาโทรศัพท์มือถือ แล้วหยิบเอกสารที่ยังคั่งค้างอีกไม่กี่ชุดมาทำต่อคงไม่มีอะไรน่าห่วง...หรือถ้ามีการได้ลงโทษกำราบแมวดื้อก็ฟังดูเป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อยอยู่เหมือนกัน...
...
นิ้วเรียวกดตัดสายก่อนเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงไว้ตามเดิมถอนใจโล่งนิดๆที่อีกฝ่ายไม่หงุดหงิดอย่างที่คาดแล้วก็สบายใจที่ไม่ต้องโกหกด้วยเพราะขืนโดนจับได้ทีหลังมีหวังซวยกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่าเอ...แต่แบบนี้ มันเหมือนกลัว...แฟน...เลยนะ?
“บ้าน่า!” ริมฝีปากบางขมุบขมิบว่าตัวเองใช่แฟนเสียที่ไหน มันก็แค่...ความสัมพันธ์ทางกาย...ต่างหากเล่า
เด็กหนุ่มเดินลากถังขยะเลี้ยวผ่านมุมตึกเพื่อจะขึ้นบันไดแต่แล้วก็ถูกคนที่เดินสวนลงมากระแทกไหล่จนเซ
“เฮ้! ระวังหน่อยสิ” อากิระหันขวับด้วยความฉุน
แต่แทนที่จะได้รับคำขอโทษ เจ้าหมอที่เป็นคู่กรณีหันกลับมาพ่นเสียงหึออกจมูกด้วยท่าทางกวนอวัยวะเบื้องต่ำสุดๆหน้าตาคุ้นๆ...อยู่ปีเดียวกันนี่หว่า รู้สึกจะเป็นนักกีฬาเบสบอลชื่อซาโต้หรือคาโต้ อะไรเนี่ยแหละ
ทว่ายังไม่ทันได้ต่อความยาวฝ่ายที่จงใจชนก็เดินหนีไปหน้าตาเฉยทิ้งให้ร่างเล็กเขม้นมองอย่างขัดเคือง คนอะไรวะ หาเรื่องกันนี่หว่าจำไม่ยักได้ว่าไปทำอะไรมันตั้งแต่เมื่อไร แน่จริงกลับมาต่อยกันสิวะ!
คิดบ่นไปพลางเดินฮึดฮัดกลับเอาถังขยะขึ้นไปไว้บนห้องแต่ไม่นานนักระหว่างหิ้วกระเป๋าเดินกลับบ้านพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องสัพเพเหระกับจินไน เขาก็หลงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท...
**********
อีกฟากของกำแพงสูงหนาที่มีลวดไฟฟ้าเดินโดยรอบคือคฤหาสน์ญี่ปุ่นชั้นเดียวเรือนใหญ่สร้างด้วยไม้ล้อมบริเวณด้วยสวนหิน บอนไซ และบ่อน้ำที่เลี้ยงปลาคาร์ฟหลากสีเอาไว้เต็มไคโตะเดินตามพ่อบ้านผ่านสะพานไม้ระแนงที่มีหลังคาคุ้มทอดยาวจากเรือนหน้าไปถึงเรือนใหญ่ฝนที่เพิ่งหยุดทำให้ไอเย็นชื้นครอบคลุมไปทุกพื้นที่เสียงน้ำหยดลงกระทบแอ่งน้ำเล็กๆฟังแล้วรู้สึกถึงความสงบร่มรื่น
เมื่อมาถึงหน้าประตูฉากไม้บานเลื่อนของห้องโถงใหญ่พ่อบ้านยามิก็ยอบตัวลง ไคโตะคุกเข่ารอ
“นายท่านครับ คุณชายใหญ่มา”
“เออ เข้ามาเลย” พอได้รับอนุญาตพ่อบ้านจึงเลื่อนเปิดประตู
“คุณลุง ไม่ได้พบกันนานสบายดีหรือครับ?” ร่างสูงค้อมศีรษะทักทาย
“อืม สบายดีไม่ต้องมากพิธีหรอกคนกันเอง เข้ามาเลย” มาซาฮิเดะกวักมือเรียกหลานชายให้มานั่งใกล้ๆ
“วันนี้ผมเอาอุเมะฉุกับขนมร้านโทวะมาฝาก”ว่าพลางยื่นข้าวของในมือให้พ่อบ้านไปจัดการจัดสำรับให้เรียบร้อยแล้วจึงเข้ามานั่งบนเบาะฟูกฝั่งตรงข้าม
มือใหญ่และหยาบกร้านยกการินน้ำชาโฮจิให้กลิ่นใบชารมควันหอมกรุ่นเข้ากับบรรยากาศของเรือนแบบญี่ปุ่นแท้
“เป็นยังไงบ้างล่ะ กิจการรุ่งเรืองดีนี่นะ?”
“ก็เป็นไปได้ด้วยดีครับส่วนหนึ่งก็เพราะได้บริษัทรับเหมาก่อสร้างของคุณลุงนั่นแหละผมเลยตัดปัญหาอะไรจุกจิกไปได้เยอะเลย” เขายกชาขึ้นจิบ
“น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าน่ายุคเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ก็ได้งานก่อสร้างโรงแรม รีสอร์ตของแกนี่ล่ะมาช่วยให้มีงานทำมั่ง”
“หึๆ ผมบอกแล้วไงทำธุรกิจอะไรที่รวยเร็วที่สุด” ริมฝีปากได้รูปยิ้มทีเล่นทีจริง“ก็ทำธุรกิจกับคนรวยไงครับ ยิ่งหรู ยิ่งแพงก็ยิ่งมีคนบ้าแต่กระเป๋าหนักเข้ามาใช้บริการ”
“ฮะๆ พูดอีกก็ถูกอีกติดแค่คนบ้าที่ว่านั่นคงเหมารวมพวกเราไปด้วยละมั้ง” เขาหยุดเว้นจังหวะเมื่อพ่อบ้านนำขนมจัดแบ่งใส่จานมาเสิร์ฟให้“แต่ว่านะ...ลูกผู้ชายย่อมต้องรู้รสในสุนทรีย์”
เอ่ยก่อนใช้มีดไม้ตัดจิ้มขนมส่งเข้าปากแล้วทำท่าพอใจ
“วันนี้ไม่มีใครอยู่หรือครับ?”ไคโตะถามเพราะเห็นว่าเงียบกว่าทุกครั้ง
“ป้าเขาไปดูผ้ากิโมโนในเมืองน่ะสำหรับงานของยูกิโกะ ส่วนวาตารุก็คงดูหนังสืออยู่ที่เรือนหลังเล็กของเขานั่นแหละแม่เขาก็อยู่ด้วย”
งานที่ว่าคืองานหมั้นของลูกสาวที่เกิดจากภรรยาหลวงของมาซาฮิเดะ ปีนี้เธออายุ 24 ปีแล้ว เป็นวัยที่ควรจะออกเรือนพอดีว่าที่คู่หมั้นคือลูกชายรัฐมนตรีคุรางิ ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาฯของพรรคการเมืองที่สังกัดอยู่อายุงจากเธออยู่ราว 6-7 ปีได้ นับว่าเหมาะสมกันไม่หยอก
“งานหมั้นจะมีในอีกสองเดือนใช่ไหมครับแล้วงานแต่งล่ะ?”
“กำหนดฤกษ์เอาไว้ต้นปีหน้าไม่ได้รีบร้อนอะไรนี่นะ”
“ก็ดีครับขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยนะฮะ” เขายิ้มให้
“ดีก็ไม่เถียง แต่...เฮ้อ” นัยน์ตาคมดุหรี่มองหลานชายแล้วส่ายหน้า “ฉันยังอยากให้ได้แต่งกับแกมากกว่า”
ไคโตะส่ายหน้ายิ้มๆเขาเข้าใจดีว่าคุณลุงอยากให้ทั้งเขาและยูกิโกะเป็นฝั่งฝาทั้งด้วยความเป็นญาติกันก็เข้าทำนองเรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน ทว่า...
“ก็ผมบอกคุณลุงแล้วว่าผมน่ะชอบทั้งผู้หญิงและผู้ชายคงจะแต่งงานกับใครไม่ได้ง่ายนักหรอกครับ คนที่มาเป็นเจ้าสาวอาจจะช้ำใจเปล่าๆ”
“เฮ้อ ก็นั่นน่ะสิแต่จะโทษใครก็ไม่ได้ ฉันกับเจ้าโทชิอากิดันอุตริเอง”
มือกร้านลูบเคราสากอย่างหนักใจเรื่องนี้จะท้าวความก็ต้องย้อนไปถึงตอนที่ไคโตะโตแตกเนื้อหนุ่ม เขากับน้องชายก็พาลูกพาหลานเที่ยวย่านสถานเริงรมย์จนปรุทั้งกิน ดื่ม ดูระบำรำฟ้อน เที่ยวเกอิชาแต่นอกจากนั้นยังไปเที่ยวโรงน้ำชาด้วยน่ะสิแล้วเจ้าหลานชายตัวดีที่อารมณ์ขณะนั้นทั้งเมาทั้งอยากลองก็ดันไปติดใจคาเงมะอันดับหนึ่งเข้าเสียได้ เลยรับได้ทั้งสองขั้วตั้งแต่นั้นมา
“ไม่ต้องกลุ้มใจไปหรอกครับตอนนี้ยูกิโกะก็ใกล้หมั้นเต็มทีแล้วทั้งทางฝ่ายนั้นเขาก็มีคุณสมบัติพร้อมไม่ใช่หรือครับ”
“ถ้ารัฐมนตรีมือสะอาดจริงมีหรือที่เขาจะอยากมาเกี่ยวดองกับยากุซ่า” มือเปลี่ยนจากถือถ้วยน้ำชามาเป็นแก้วอุเมะฉุเย็นชื่นใจ“แต่จะถือว่าเสมอกันก็ได้ อย่างว่าแหละนะ การเมืองน่ะพอลงไปเล่นมันก็ต้องสกปรกกันบ้างอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ก็เหมือนกับการเป็นยากุซ่า”
ร่างสูงพยักหน้ารับฟังเงียบๆฉับพลันบรรยากาศในห้องนั้นก็ดูจะจริงจังขึ้นมา
“วิถีของยากุซ่า คือวิถีลูกผู้ชายที่ยอมให้มือสกปรกได้เพื่อเก็บกวาดเมืองที่เขาอาศัยให้สะอาด” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยเบาทว่าหนักแน่น “แต่สมัยนี้มันมีบ้าปลายแถวหลายตัวที่ตีความหมายว่ายากุซ่าคืออันธพาล แล้วมันก็ทำตัวยิ่งกว่ากาฝากเสียอีก!”
ใบหน้าที่รกครึ้มด้วยหนวดเคราขทึง
“มันเกาะต้นไม้ที่มันหาเองฉันไม่ว่า อาจจะรำคาญลูกตา แต่ตอนนี้ที่มันคิดแพร่ระบาดมาจะมารังควานต้นไม้ที่อยู่ในความดูแลของคุโรดะอย่างนี้มันจะให้เฉยก็ไม่ไหวแล้วมั้ง”
“เรื่องนั้นผมก็กำลังจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิดแล้วแต่พวกนั้นก็ดำเนินการได้เงียบทีเดียว”
“ตัวหลักก็คือวาตานาเบะถึงมันจะยังเข้ามาชูคอในสมาพันธ์ไม่ได้ แต่เงินหนาทีเดียว แน่นอนล่ะว่าไม่สะอาดถึงอย่างนั้นหลักฐานต่างๆก็ยังมีน้อยมาก และที่สำคัญ...”
“ไม่รู้ว่ามีคนในหนุนหลังมันด้วยหรือเปล่า”ไคโตะต่อให้
“อืม ถ้าจะนับตามสายวาตานาเบะเป็นแก๊งค์ลูกระดับสองของคิมุระแต่ที่จะคิดเอาง่ายๆว่าคิมุระมีส่วนน่ะมันตื้นเกินไป” กลุ่มคิมุระเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของสมาพันธ์ฯซ้ำยังคุ้นเคยกันดีเสียด้วยสิ
“ทราบแล้วล่ะครับปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ” นัยน์ตาคมหรี่ลงคล้ายคิดการณ์อะไรบางอย่าง
“อืม ฝากด้วยนะลุงเองในฐานะประธานสมาพันธ์ฯจะให้ไปรังแกเด็กน่ะคนอื่นจะครหาเอาได้ตำแหน่งประธานกลุ่มคุโรดะเจ้าโทชิอากิก็ทิ้งไว้ให้แกตั้งนานแล้วช่วยหน่อยก็แล้วกัน”
“ถึงคุณลุงไม่ขอผมก็ไม่คิดจะเฉยอยู่แล้ว ขอแค่พอถึงเวลาที่จะจัดการกับพวกกาฝากทางสมาพันธ์ฯช่วยรับรองผล และกันกลุ่มอื่นไว้วงนอกด้วย นอกนั้นผมจะดูแลเอง”
มาซาฮิเดะพยักหน้ารับเป็นการตกลงจากนั้นในห้องญี่ปุ่นสีใบไม้แห้งก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง...
“อยู่กินข้าวเย็นก่อนสิอีกสักเดี๋ยวป้าเขาคงกลับมาแล้วล่ะ”
ชายผู้อาวุโสกว่าชวนขึ้นมาลอยๆราวกับรู้เพราะอีกสักพักหลังจากนั้น พ่อบ้านก็มารายงานว่านายผู้หญิงกับลูกสาวคนโตกลับมาถึงบ้านแล้วพอดี...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น