วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

น้ำกระจายกับหนุ่มนักเรียน 1

เจมส์เป็นนักเรียนนายร้อยที่ผ่านประสบกามมาอย่างโซกโชนพอสมควร ในช่วงหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เขาได้นัดกับพี่หมอชีวิน อีกหนึ่งในชายหนุ่มผู้หลงเข้ามาในเส้นทางกามของเขา เพื่อเดินทางไปบริจาคผ้าห่มและชุดกันหนาวในแถบพื้นที่ราบสูงของประเทศ ในดินแดนที่เรียกกันว่าเมืองทะเลแห่งภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู


เมื่อถึงวันนัดหมาย เจมส์นั่งรถตู้มารอพี่หมอและเพื่อนที่หน้าห้างฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต รอไม่นานนัก รถตู้คันหนึ่งก็วิ่งเลียบเข้ามาจอดใกล้ ๆ จุดเขายืน

“ขึ้นรถได้เลยน้องรัก”

พี่หมอเปิดประตูโผล่หน้ามาเรียก

เมื่อก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะ ก็เห็นเพื่อนพี่หมอซึ่งแกบอกว่าจะเดินทางไปด้วยกัน เป็นชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ ๒๗ – ๒๘ ปี รูปร่างสูงโปร่ง เส้นผมดกหนาย้อยต่ำลงมาปกที่หางคิ้วดกเข้มด้านหนึ่ง มีเคราขึ้นปกคลุมตลอดแนวพวงแก้มทั้งสองข้างรับกับเส้นหนวดสั้นเหนือริมฝีปากได้เป็นอย่างดี

“สวัสดีครับพี่....”

“พี่...สุภัคนันท์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ภัค ตามไอ้หมอก็ได้”

“สวัสดีครับพี่ภัค ผมเจมส์ครับ”

หนุ่มเครางามมองชายหนุ่มนักเรียนนายร้อยด้วยความพอใจในรูปร่างหน้าตาตลอดถึงอัธยาศัยไมตรี แม้จะเพิ่งเคยพบกัน แต่เขาก็ได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้จากไอ้หมอมาพอสมควร ขณะที่เจมส์ไม่ได้สนใจหนุ่มเครางามนัยน์ตาคมมากนัก หลังจากทักทายแล้ว เขาก็ขยับหาที่นั่งสบาย ๆ

ระหว่างทางได้มีการพูดคุยทักทายทำความรู้จักกับสองหนุ่มบ้างพอสมควร ส่วนมากจะเป็นเขากับพี่หมอซึ่งสนิทกันอยู่แล้ว เป็นฝ่ายพูดคุยกันเอง ส่วนเพื่อนพี่หมอเอาแต่นั่งยิ้ม คอยอำพี่หมอไปตลอดทาง

รถตู้พาเราวิ่งเข้าถนนพหลโยธิน ขับผ่านจังหวัดสระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ เขาจำได้แค่นั้น ก็นอนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อรถตู้วิ่งไปตามที่ลัดเลาะตามไหล่เขา เป็นทางโค้ง ขึ้นเขาบ้าง ลงเขาบ้าง ทำให้วิ่งด้วยความเร็วได้แค่ ๖๐ – ๘๐ กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นโชเฟอร์ก็หักเลี้ยวขวาไปทางอำเภอภูเรือซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่พวกเราจะได้พักค้างคืนรับลมหนาวกันที่นั่น

เมื่อถึงที่หมายซึ่งเป็นเวลากลางดึก ทันทีที่เปิดประตูรถตู้ออก ลมหนาวพัดโชยมากระทบใบหน้าเป็นการต้อนรับพวกเราทันทีเลยทีเดียว รู้สึกหนาวยะเยือกเข้าไปถึงตับไตไส้พุงเลยทีเดียว สมแล้วกับคำขวัญจังหวัดที่ว่า “เมืองแห่งทะเลภูเขา หนาวสุดในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู” สองอย่างแรกได้สัมผัสแล้ว แต่อย่างหลังคงได้มีโอกาสสัมผัสในวันต่อ ๆ ไป

เพื่อนที่หมอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วนอุทยานแห่งชาติที่ภูเรือนี้ ได้ออกมาต้อนรับพวกเราสามคนเป็นอย่างดี

เขายืนมองสามชายหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันกล่าวทักทายกันอย่างสนิทสนม มีอำกันเล่นบ้าง บลั๊ฟกันไปกันมาบ้าง เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บได้เป็นอย่างดี

ลักษณะชายหนุ่มเจ้าหน้าที่วนอุทยานคนนี้ บุคลิกรูปร่างหน้าตาตรงกันข้ามกับพี่ทหารอากาศเลยทีเดียว เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง แต่ไม่ถึงกับบอบบาง ผิวขาวเหลืองเกลี้ยงเกลา แต่งตัวด้วยชุดลำลองธรรมดา มีเสื้อแจ๊กเกตหนังคลุมทับอีกชั้น แม้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเรียบ ๆ แต่ก็ดูดีมีสไตล์มีรสนิยมในการแต่งตัวมากทีเดียว เป็นคนที่ค่อนข้างเปิดเผย ร่าเริงแจ่มใสจนน่าทึ่ง บางครั้งเมื่อรู้สึกตัวว่าเขายืนมองอยู่ แกก็หันมาสบตาเขาอย่างเปิดเผยและเป็นกันเอง ส่งรอยยิ้มหวาน ๆ มาให้ แล้วหันหน้าไปทางพี่หมอเหมือนจะเป็นการเตือนให้ช่วยแนะนำ

“มัวแต่คุยกันเพลินจนลืมแนะนำน้องชายข้าไปเลย”

หมอหนุ่มกล่าวพลางหันมาทางชายหนุ่มที่อายุน้อยที่สุด

“นี่เจมส์ เป็นนักเรียนนายร้อย น้องชายกูเอง”

ผายมือไปทางหนุ่มเจ้าหน้าที่อุทยาน

“นี่ซี รุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมของพี่ มาทำงานที่นี่หลายปีแล้ว”

หนุ่มซียิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง กล่าวขึ้นยิ้ม ๆ

“อย่าไปเชื่อมันนะเจมส์ ไอ้หมอมันชอบอำ มันนั่นแหละแก่กว่าใครเพื่อนในบรรดาพวกเราสามคน”

กล่าวจบก็มีเสียงประสานหัวเราะกันอย่างครึกครื้น

“ไอ้นี่มันชอบพูดอะไรตรงกันข้ามกับความเป็นจริงเสมอเจมส์ ดูอย่างชื่อมันสิ”

พี่หมอยังแย้งมาด้วยน้ำเสียงกังวานใส

“ชื่อข้าเกี่ยวไรด้วยวะ”

“เกี่ยวสิ ชื่อแปลว่าทะเล แต่ฝ่ามาทำงานบนภูเขา เองน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นภูเขา บรรพตหรือไม่ก็เมาท์เท่นไปเลยเป็นไง จะได้เข้ากับธรรมชาติที่นี่ ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...”

“ไอ้หมอบ้า...!”

ระหว่างสามหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกันกล่าวทักทายหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น เจมส์ซึ่งเปรียบเหมือนคนนอก ก็แอบชำเลืองสังเกตสองหนุ่มที่เขาเพิ่งรู้จักอยู่เงียบ ๆ โดยเฉพาะหนุ่มเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งทำตัวเป็นธรรมชาติสมกับที่แกได้ทำงานคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติจริง ๆ

พูดคุยทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ซีซึ่งเป็นเหมือนเจ้าของบ้านจึงกล่าวขึ้น

“นี่ยังดึกมากอยู่ และอากาศก็ค่อนข้างหนาวเย็นด้วย ถ้าไม่ติดว่าต้องตื่นมาคอยรับพวกเอ็ง กูไม่ลุกออกจากที่นอนอุ่น ๆ ให้เสียเวลาหรอก”

“จะเอายังไงก็ว่ามา กูเอ็งก็หนาวจนหำหดหมดแล้วนี่”

หนุ่มทหารอากาศยืนกอดอก ปากสั่น ขาสั่นขณะพูด

“หดจริงเปล่าวะ”

โดยที่เขาคาดไม่ถึง ซียื่นมือเข้าไปล้วงตรงหว่างขาภัคกุมเต็มกำมือพร้อมเขย่า

“หดจริงด้วยว่ะ ไม่ใช่หดแค่หำอย่างเดียว มันหดทั้งยวงเลย หรือว่าเอ็งลืมเอามาด้วยวะไอ้ภัค ฮ่า..ฮ่า...ฮ่า...”

“ไอ้บ้า...! มึงไม่อายน้องเค้า แต่กูอายเป็นนะโว้ย”

หนุ่มซีเจ้าหน้าที่อุทยานหันมาทางชายหนุ่มน้อยซึ่งยืนมองมาทางตนด้วยรอยยิ้มตรงมุมฝีปาก จึงตัดบท

“เดี๋ยวไปพักที่บ้านพักกูก่อน หากพวกแกอยากกางเต็นท์นอน พรุ่งนี้ค่อยไปกางกัน กูจองสถานที่ไว้ให้แล้ว”

สามหนุ่มผู้มาเยือนเดินตามหลังเจ้าถิ่นไป เว้นโชเฟอร์ซึ่งขอนอนอยู่ที่รถ

เมื่อถึงบ้านพักส่วนตัวซี ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางผสมกับอากาศหนาวเย็น ทำให้เราสามคนผู้มาใหม่กระโดดขึ้นเตียงนอนนุ่ม ๆ เดียวกันโดยมีเขานอนอยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยพี่หมอและพี่นักบิน

ขณะที่กำลังหลับสบาย ๆ อยู่นั้น หนุ่มเจ้าหน้าที่อุทยานก็เดินเข้ามาปลุก

“ตื่นได้แล้ว ตื่น...ตื่น...ตื่น...”

“จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้าวะ”

เสียงหมอหนุ่มพูดอู้อี้ในลำคอทั้งที่ยังหลับตาอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา

“ตกลงเอ็งนั่งรถมาตั้งไกล เพื่อมานอนหรือมาเที่ยวกันแน่”

“มาเที่ยวสิวะ”

“เออ...ถ้ามาเที่ยวก็รีบตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปไม่ทัน อดดูความงามธรรมชาติตอนเช้า จะหาว่าข้าไม่แนะนำไม่ได้นะโว้ย”

“ถ้าไม่งามตามคำพูด แกโดนเราสามคนถีบตกหน้าผาแน่วันนี้”

ซีไม่สนใจคำพูดเพื่อน หันหน้ามาทางหนุ่มน้อย

“รีบลุกเถอะเจมส์ ปล่อยให้ไอ้ขี้เซาสองตัวนี้มันนอนอยู่นี่แหละ เดี๋ยวเราออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันสองคนก็ได้”

พอรู้ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เจมส์ดีดตัวลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง รีบเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว เสร็จแล้วเดินออกมาคุยกับหนุ่มเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อทำความรู้จักสถานที่และทำความรู้จักเจ้าถิ่นให้มากยิ่งขึ้นด้วย

ระหว่างระสองหนุ่มซึ่งยังไม่เดินออกมา ชายหนุ่มจึงขอให้หนุ่มเจ้าหน้าที่กล่าวถึงอุทยานแห่งชาติภูเรือ

ซีเห็นชายหนุ่มแสดงอาการสนใจใคร่รู้จริง ๆ และเป็นการคุยฆ่าเวลาไปในตัวด้วย จึงเล่าตั้งแต่เริ่มแรก

“อุทยานแห่งชาติภูเรือแห่งนี้ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่จังหวัดเลย อาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศลาว”

ว่าพลางชี้ไม้ชี้มือประกอบคำอธิบายให้ชายหนุ่มฟัง

“ที่เรียกว่าภูเรือ เพราะมีรูปพรรณสัณฐานเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูง สาย ๆ หน่อยเจมส์จะมองเห็นสถานที่ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จะได้เห็นภูผาสีสันสะดุดตาสะดุดใจ ก้อนหินแต่ละก้อนเหมือนถูกปั้นแต่งไว้ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “กว้านสมอ” โดยรอบ ๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ใกล้เคียงเป็นฝ้าขาวด้วยละอองน้ำหมอกปกคลุมไว้ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์บนเนื้อที่ ๑๒๐.๘๔ ตารางกิโลเมตร”

หันมาทางชายหนุ่มซึ่งตั้งหน้าตั้งฟังด้วยความสนใจ จึงกล่าวไปเรื่อย ๆ

“บนพื้นที่ป่าภูเรือนี้ มีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามสำคัญหลายแห่ง ทั้งป่าไม้ น้ำตก ทิวทัศน์ ลักษณะนี้เช่นนี้เองจึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นห้วยน้ำด่าน ห้วยบง ห้วยเกียงนา ห้วยทรายขาว ห้วยติ้ว และห้วยไผ่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกห้วยไผ่ที่สวยงามแห่งหนึ่ง ถ้าเจมส์ไม่เบื่อหรือไม่เหนื่อยเสียก่อน พี่ยินดีพาชมจนทั่ว”

“ขอบคุณพี่ซีมากครับ มาทั้งทีก็ต้องเที่ยวชมและสัมผัสให้ทั่วถึงอยู่แล้ว”

เจมส์ซักถามเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ บนภูเรือแห่งนี้ตลอดถึงละแวกข้างเคียงด้วยความใคร่รู้ ซึ่งหนุ่มเจ้าหน้าที่ก็ให้รายละเอียดสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ก่อนที่ซีจะเป็นฝ่ายย้อนถามว่า

“รู้จักกับเจ้าหมอได้ยังไง?”

เจมส์มีท่าอึกอักเล็กน้อย แต่ก็เก็บอาการทุกอย่างให้เป็นปกติ เล่าเฉพาะส่วนที่ควรเล่า เว้นส่วนที่ควรเว้น กระทั่งสองหนุ่มตามมาสมทบ เสียงหมอร้องทักมาแต่ไกล

“เจมส์อย่าไปเชื่อไปฟังมันมากนะไอ้นี่ รู้มั้ยฉายาสมัยเรียนมันคืออะไร?”

หยุดนิดหนึ่งหันหน้าไปทางคนที่ถูกพาดพิง

“ไอ้ซีขี้โม้...ไอ้นี่มันสามารถพูดได้ทั้งวัน พูดจนลิงหลับ มันถึงได้มาทำงานบนเทือกเขาสูงแบบนี้ไง อยู่กับธรรมชาติ ได้คุยกับธรรมชาติต้นไม้ใบหญ้า อยู่ในเมืองไม่มีใครอยากคุยด้วย ก็มันเล่นคุยคนเดียว ใครที่ไหนจะมาทนนั่งฟังมันพล่าม เอ็งว่ามั้ย”

หันหน้าไปทางหนุ่มทหารอากาศอย่างหาแนวร่วม ซึ่งภัคก็ผสมโรงเออออไปด้วย

“จริงเจมส์ อย่าไปเชื่อมันมาก”

“ปากอย่างนี้...มันน่านัก”

“น่าไรวะ”

“น่าฆ่าหมกป๋าแถวนี้ละสิ”

“ช่วยด้วย ! เจมส์ พี่จะถูกไอ้ซีทำร้าย หากพี่หายตัวไป เจมส์ช่วยเป็นพยานด้วยนะว่าพี่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานปองร้าย”

หมอหนุ่มแกล้งทำอาการกลัวรนรานวิ่งไปหลบหลังหนุ่มเจมส์

“สงสัยจะอยู่กับศพมากเกินไป”

ซีหันมาทางเจมส์อีกครั้ง

“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวก็อดได้เห็นธรรมชาติสวยงามยามเช้ากันพอดี นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้วด้วย”

สี่หนุ่มก้าวขึ้นรถประจำอุทยาน ไม่นานนักก็มาถึงผาโหล่นน้อย เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม สามารถมองเห็นภูหลวง ภูผาสาด ภูครั่งและทะเลภูเขา ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ ๓ กิโลเมตร

ท่ามกลางอากาศซึ่งหนาวเย็นมาก ๆ ทำให้ได้มีโอกาสสัมผัสและชื่นชมความงามของน้ำค้างบนยอดหญ้าที่แข็งตัวจนกลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “แม่คะนิ้ง” เจมส์หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาเก็บภาพถ่ายด้วยความตื่นตาตื่นใจ กระทั่งท้องฟ้าเริ่มสาง ขณะเดินทอดน่องชมแม่คะนิ้งบนยอดหญ้าอย่างเพลิดเพลินท่ามกลางยอดเขาที่เงียบสงัด หายใจลึก ๆ สูดเอาอากาศเย็นสดชื่นเข้าไปให้ชุ่มปอด บรรยากาศรอบ ๆ ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งใจอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต

บนยอดภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยไอหมอกหนามัวไปทั่ว ทำให้แทบมองอะไรได้ไม่เห็นชัดเจนมากนัก เหมือนแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป ๆ บนยอดเขาที่เขาเคยได้ไปสัมผัส แต่ที่นี่และในภาวะอารมณ์เขาขณะนี้กลับทำให้เกิดความประทับใจอย่างประหลาด

หยุดยืน ซุกมือสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว สูดเอาอากาศชื้นและบริสุทธิ์ของยอดเขาแห่งนี้เข้าไว้เต็มปอดครั้งแล้วครั้งเล่า สักพักพี่หมอเดินมาจูงมือเขาไปนั่งข้าง ๆ ยื่นแขนมาฟาดไว้บนไหล่เขา ขณะที่มือเขาเอื้อมไปกอดที่บั้นเอวแกไว้หลวม ๆ พร้อมกับเอนศีรษะลงไปชนกับศีรษะแกที่โน้มลงมาเช่นเดียวกัน นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว รำพึงกับตนเอง

อยากให้คนที่นั่งข้าง ๆ ขณะนี้เป็นลุงคมน์หรือลุงวัฒน์จังเลย คงมีความสุขและอบอุ่นมากกว่านี้ แต่ก็พยายามสลัดความคิดนั้นออกไป ปล่อยจิตปล่อยใจให้ดื่มด่ำกับธรรมชาติตรงหน้าเท่านั้น

การมานั่งท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเพื่อรอชมทะเลหมอกยามเช้ารุ่งอรุณขณะนี้ มันเหมือนการเข้าไปในโรงภาพยนต์ตั้งหน้าตั้งตารอคอยชมฉากสำคัญของละครเวทีซึ่งค่อยเปิดม่านออกมาช้า ๆ เห็นเพียงแสงรำไรค่อยเผยให้เห็นกลุ่มไอน้ำปริมาณมหาศาลลอยมารวมตัวกันเป็นละอองเหนือผืนป่าเบื้องล่าง พร้อมกับสีสันของท้องฟ้าที่เริ่มแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และแล้วตัวละครเอกที่รอคอยคือพระอาทิตย์ได้เผยโฉมให้เห็นริมขอบฟ้า ณ เวลาถัดจากนั้น มองเห็นหมู่นกโผบินออกจากรังและดอกไม้ใบหญ้าพลิ้วไหวไปตามสายลมหนาว ผสมผสานเป็นความงามอย่างลงตัว
บรรยากาศรอบ ๆ เปลี่ยนไปช้า ๆ จากท้องฟ้าที่มืดมัวไปด้วยไอหมอกก้อนเมฆ ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้วเป็นสีคราม ก่อนจะค่อยเป็นสีทองและสีแดง สามารถมองดูด้วยตาเปล่าได้โดยไม่รู้สึกแสบตา

สิ่งมหัศจรรย์ที่เขาเฝ้าคอยก็ปรากฏโฉมตรงหน้า ไอละอองของน้ำค้างที่ก่อตัวเป็นแม่คะนิ้งทั่วผืนป่า เริ่มละลายเหือดหายไปช้า ๆ ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งมองเห็นหมู่เมฆสีขาวโพลนซึ่งโอบอุ้มพื้นที่ป่าเป็นแนวยาวไปรอบรัศมี ไม่ต่างจากเนินผาที่อวดตัวกลางทะเลสีขาวใส

ในที่สุดทุกอย่างก็กลายเป็นแสงสีทองผ่องอำพัน เป็นแสงแรกแห่งวันใหม่ ดาวรุ่งเริ่มหม่นแสงลาลับขอบฟ้าทางด้านหุบเขาตรงกันข้าม เพราะไม่สามารถจะต้านทางแสงแห่งพลังพระสุริยันต์ได้

หนุ่มทหารอากาศและหนุ่มเจ้าหน้าที่ยังคงนั่งกินลมชมวิวพูดคุยกันอยู่เงียบ ๆ มีเพียงเขาและพี่หมอเดินชมรอบ ๆ บริเวณ พูดคุยกับนักท่องเที่ยวซึ่งมาชมพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน เก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ โดยการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์รอบ ๆ บ้าง เปลี่ยนกันถ่ายภาพให้กันและกันบ้างอย่างสนุกสนานและมีความสุข

ยิ่งพระอาทิตย์ทอแสงสว่างจ้ามากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเผยให้เห็นความงามของธรรมชาติตามไปด้วย มองเห็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ สลับกับทุ่งหญ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้าง ดอกไม้ป่านานาพันธ์ต่างแข่งกันอวดความงดงาม ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบป่า มอส เฟิน และกล้วยไม้ป่าที่สวยงามหลากหลายสายพันธ์ โดยเฉพาะเอื้องคำ เอื้องผึ้ง เอื้องเงินซึ่งขึ้นตามต้นไม้และโขดหิน ชูดอกบานรับแสงอรุณสวยงามมาก ๆ ขณะแม่คะนิ้งที่จับกันเป็นก้อนน้ำแข็งกลางดึก ค่อยละลายช้า ๆ เมื่อต้องแสงทิพากรอ่อน ๆ เป็นภาพที่หาชมไม่ได้ง่าย ๆ

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่อาจรู้ได้ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติอยู่นั้น หนุ่มเจ้าหน้าที่อุทยานก็เดินเข้ามาหา

“ลงไปหาอะไรร้อน ๆ ทานกันดีกว่า จะได้เดินออกเดินทางไปแจกเสื้อกันหนาวให้เด็ก ๆ ตามโรงเรียนต่าง ๆ อีก”

มองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเสียดาย กดชัตเตอร์รัวอีกสามสี่ครั้ง ก็วิ่งตามสามหนุ่มขึ้นรถขับลงจากยอดเขาไป

เสร็จจากการรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเรียบง่าย หนุ่มเจ้าถิ่นก็ขับรถนำทาง โดยมีรถตู้ที่ของคณะที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ขับตามไปติด ๆ กระทั่งไปถึงโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างทุรกันดารพอสมควร

ณ ที่นั่นมีข้าราชการผู้ใหญ่ประจำอำเภอรอคอยอยู่ก่อนแล้ว มีเจ้าหน้าที่มาช่วยขนเสื้อกันหนาวลงจากรถตู้ แล้วนำไปแจกให้นักเรียนซึ่งเข้าแถวยืนรอรับอย่างเป็นระเบียบ

เจมส์ปล่อยการแจกของให้เป็นหน้าที่ของผู้หลักผู้ใหญ่ เดินเลี่ยงออกไปเก็บภาพด้วยความประทับใจ เด็กนักเรียนหลายคนอยู่ในชุดนักเรียนเก่า ๆ ขาด ๆ เดินปากสั่นมือสั่นด้วยสภาพอากาศที่หนาวจัดเข้ามารับเสื้อกันหนาวจากมือนายอำเภอและหัวหน้าอุทยาน เมื่อได้รับแล้ว ทุกคนยกขึ้นสูดลมกอดแนบไว้กับหน้าอกอย่างทะนุถนอมและด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ นอกจากเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำแล้ว เขาก็ไม่ลืมที่จะกดชัตเตอร์เก็บภาพเหล่านี้ไว้เป็นที่ระลึกด้วย

เสร็จจากโรงเรียนหนึ่ง ก็ขับรถไปอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก จากจำนวนเงินที่อากงได้สมทบเพิ่มเติมมาในวันนั้น ทำให้ซื้อเสื้อกันหนาวได้จำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงสามารถนำไปแจกจ่ายได้หลายโรงเรียนหลายหมู่บ้าน นอกจากนั้นยังสามารถแบ่งไปซื้อผ้าห่มไปมอบให้ผู้สูงวัยตามหมู่บ้านต่าง ๆ ได้อีกด้วย

เนื่องจากมีเวลาจำกัด หลายโรงเรียน หลายหมู่บ้าน ก็มอบให้กับผู้นำท้องถิ่นนำไปบริหารจัดการกันเอง ถึงอย่างนั้นกว่าจะเสร็จก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี นายอำเภอจึงรับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน

อาหารส่วนมากเป็นอาหารพื้นเมือง หลาย ๆ อย่างเขาไม่เคยกินมาก่อน แต่ก็สามารถกินได้ไม่เป็นปัญหา

อิ่มหนำสำราญกันแล้ว หนุ่มซีในฐานะมัคคุเทศก์นำเที่ยว จึงพาไปไหว้พระปิดทอง เพื่อเป็นการขอพร เสริมดวง เสริมบารมี ทำความดีให้กับชีวิตตามคติความเชื่อทางศาสนาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

วัดที่หนุ่มซีพาเข้าไปกราบนมัสการนั้นถือว่าเป็นวัดซึ่งมีชื่อเสียงด้านความศักดิ์สิทธิ์และมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน ได้แก่วัดพระธาตุสัจจะซึ่งเป็นเหมือนพระธาตุพนมจำลอง จากนั้นก็ไปต่อที่วัดพระธาตุศรีสองรัก ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสำคัญของจังหวัดเลย

หลังจากกราบพระปิดทองเสร็จ ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่าน ซึ่งท่านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

ระหว่างสนทนานั้น เจมส์ซึ่งเป็นหนุ่มน้อยที่สุดแม้จะรู้สึกศรัทธาในศาสนามาตั้งแต่เด็ก แต่ก็มีหลายอย่างที่เขายังสงสัย จึงตัดสินใจกราบนมัสการถามท่านว่า

“การปิดทองพระนั้นให้ผลอย่างไร? ตามความเชื่อทางศาสนาครับหลวงพ่อ”

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมองหน้าชายหนุ่มยิ้ม ๆ แต่ก็ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงกังวานใส

“ตามความเชื่อนั้น การปิดทองถือว่าเป็นการสร้างบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่ทีเดียว ผู้ที่ได้มีโอกาสปิดทองพระจะเกิดชาติภพใดจะมีผิวพรรณผ่องใสงดงาม มีสง่าราศี โดยหากปิดที่พระพักตร์ จะทำให้หน้าที่การงานและชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ปิดบริเวณพระอุทร(ท้อง) จะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ปิดที่พระนาภี(สะดือ) ตลอดชีวิตจะไม่รู้จักคำว่าอด สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน ปิดที่พระเศียร จะทำให้มีสติปัญญาความจำเป็นเลิศ สามารถแก้ไขฟันผ่าอุปสรรคของชีวิตได้ตลอด ปิดที่พระอุระ(หน้าอก) ทำให้มีความสง่าราศีเป็นที่ถูกใจของคนทั่วไป ปิดที่พระหัตถ์ ทำให้เป็นคนมีอำนาจบารมี ปิดที่พระบาท ทำให้อุดมสมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัยและยวดยานพาหนะ ปิดที่บริเวณฐานองค์พระ ทำให้หน้าที่การงานมั่นคงเจริญก้าวหน้า”

เมื่อหลวงพ่อกล่าวชี้แจงพร้อมบอกอานิสงส์ทุกอย่าง สี่หนุ่มจึงกราบลาท่าน และก่อนจะออกจากวัด ก็ไม่ลืมขึ้นไปปิดทองตามส่วนต่าง ๆ ตามที่หลวงพ่อได้บอกอีกครั้ง ขณะปิดทองนั้น ทุกคนต่างอยู่ในอาการสงบนิ่ง กำหนดสมาธิอธิษฐานจิตกันเงียบ ๆ

เสร็จจากการปิดทองไหว้พระขอพร จึงย้อนกลับขึ้นไปอุทยานภูเรืออีกครั้ง และกว่าจะขึ้นไปถึงก็มืดค่ำพอดี

ความเหนื่อยเพลียทำให้หมอหนุ่มบอกกับเพื่อน ๆ ที่เดินทางมาร่วมกัน

“พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปกางเต็นท์นอนกัน คืนนี้นอนบ้านพักไอ้ซีนี่แหละ”

แยกย้ายกันไปอาบน้ำชำระร่างกาย ร่วมกันรับประทานอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อย ค่อยแยกย้ายเข้านอน โดยเจมส์ถูกส่งให้ไปนอนที่ห้องนอนเจ้าหน้าที่หนุ่มอุทยาน จะได้ไม่แออัดกันเกินไป

การนอนเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน ทำให้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความสดชื่น รับประทานอาหารเช้าเสร็จ ซีได้แนะนำโปรแกรมสำหรับการท่องเที่ยว

ในวันเช้าวันใหม่นี้ ซีพานักท่องเที่ยวชาวกรุง ไปเที่ยวชมตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูเรือ ทั้งสถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ สวนดอกไม้คำนวณเนอร์สเซอรี สวนดอกไม้ ที เอส เอ ไร่องุ่น/โรงงานไวน์ชาโตเดอเลย โดยไม่ลืมซื้อไวน์เลิศรสกลับมาด้วยหลายลังเลยทีเดียว

นอกจากนั้นยังไปแวะจุดชมสัตว์ป่าซึ่งถือว่าชุกชุมพอสมควร โดยเฉพาะไก่ป่าและไก่ฟ้าพญาลอ มีให้เห็นอยู่ไม่ขาดระยะ และนกชนิดต่าง ๆ สีสันสวยงามมากมายซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน

การท่องเที่ยวตลอดวันนี้มีสองแห่งที่ทำให้เจมส์รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษคือยอดภูเรือ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นหน้าผาซึ่งสูงชัน พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่าสนเขา ทั้งสนสองใบและสนสามใบ สลับกับลานหินธรรมชาติ โดยเดินตะลุยกันขึ้นไปตลอดระยะทางไม่ต่ำกว่า ๗๐๐ เมตร บนยอดเขานั้นสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามได้รอบด้าน สามารถมองเห็นแม่น้ำโขงซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างไทยและลาว นอกจากนี้บนยอดภูเรือยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาวาบรรพต ซึ่งชาวภูเรือได้อัญเชิญมาจากอยุธยา ยิ่งเวลาพลบค่ำลงเท่าไหร่ บรรยากาศที่เริ่มมีหมอกปกคลุมยิ่งดูงดงามตระการตาขึ้นเรื่อย ๆ ดอกกระดุมเงิน ดอกดาวเรืองภู เปราะภู แข่งขันออกสะท้อนแสงพระอาทิตย์ยามเย็น

และเมื่อใกล้เวลาพระอาทิตย์อัสดงคต หนุ่มซีชวนสามหนุ่มชาวกรุงไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาซำทองหรือผากุหลาบขาว ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชันเป็นแหล่งน้ำชับ ประกอบกับมีไลเคนมีสีเหลืองคล้ายสีทอง จึงเป็นที่มาของคำว่า “ผาซำทอง”

กลับถึงที่พัก นำของสดที่ซื้อติดมือกันมามากมาย มาทำอาหารรับประทานกันเอง แต่ละคนต่างโชว์ฝีมือของตนเองอย่างเต็มที่ ทำเสร็จแล้วก็ถือจานเมนูของตนออกมาจัดเรียงบนโต๊ะอาหาร รับประทานกันอย่างออกรสออกชาติ

รับประทานอาหารเสร็จแล้วก็มานั่งสนทนาปราศรัยอย่างสนิทสนมและเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น บริเวณลานด้านหน้าบ้านพัก โดยหมอหนุ่มถือขวดไวน์ซึ่งซื้อมาจากไร่องุ่นออกมาเปิดฉลองกันเล็กน้อย

ยิ่งเวลาดึกมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวข้อสนทนาจากเรื่องทั่วไป มีการบลั๊ฟการอำกันเล่นเรียกเสียงสรวลเสเฮฮา เรียกเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะ ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ไวน์หรือความคะนองปาก หัวข้อสนทนาเริ่มเปลี่ยนเป็นเรื่องใต้สะดือมากขึ้น สามหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันต่างผลัดกันแสประสบกามสมัยมัธยมของกันและกัน

หมอหนุ่มสังเกตอาการชายหนุ่มซึ่งอายุน้อยที่สุดในกลุ่มอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าชายหนุ่มมีเรื่องบางอย่างให้ครุ่นคิดตั้งแต่ทานอาหารเย็นเสร็จ ก็ดูเงียบ ๆ สายตาเหม่อลอยมองออกไปยังผืนป่าที่มืดครึ้มไปด้วยสายหมอกที่พรมลงมาหนาขึ้นเรื่อย ๆ จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“เป็นไงเจมส์...ยังกังวลกับเรื่องทางบ้านอยู่เหรอ”

ยื่นมือมาเขย่าศีรษะด้วยความเอ็นดูสนิทสนม

เจมส์ไม่ตอบคำถาม แต่กลับย้อนถามสามหนุ่ม

“เวลาเหงา ๆ พวกพี่ชอบทำไรกันที่สุด”

หนุ่มเจ้าหน้าที่อุทยานเป็นฝ่ายตอบคนแรก

“เดินป่าชมนกชมไม้หรือไม่ก็นอนชมเดือนชมดาวแบบนี้”

ซีตอบกลับขณะที่ทิ้งตัวลงนอนยาวเหยียดเอามือรองศีรษะตนเองมองดูดาราพรรณที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า

“เพราะเหตุนี้แหละ เรียนจบแล้วพี่จึงสมัครใจที่จะมาอยู่และเป็นแบบนี้ พี่ชอบอยู่กับธรรมชาติไม่ว่าเวลาสุขหรือเศร้า”

หมอหนุ่มกล่าวย้ำยืนยันมาอีก

“ไอ้นี่นะเจมส์...มันชอบคุยกับต้นไม้ใบหญ้าเป็นชีวิตจิตใจ”

“เออ....เอาเข้าไปไอ้หมอ กูว่ามึงเริ่มเมาไวน์แล้วนะเนี่ย”

หมอหนุ่มไม่สนใจอาการเพื่อน ยังคงกล่าวต่อไป
“สำหรับพี่ชอบดูหนังฟังเพลง ถ้าอยู่ในอารมณ์เศร้า ยิ่งชอบดูและฟังอะไรที่มันเศร้า บางครั้งหากเศร้ามาก ๆ ฟังเพลงเศร้า ๆ จนน้ำตาไหลอาบแก้มตามเนื้อหาเพลงก็มี”

“ไอ้บ๊อง! สมควรแล้วที่วัน ๆ เอ็งอยู่กับคนป่วยและศพ เวลาเศร้าไปฟังเพลงเศร้า มันไม่ยิ่งเศร้ากว่าเดิมหรือวะ”

“ไม่นะ...มันก็เศร้าบ้าง เหงาบ้างตามอารมณ์เพลง แต่ลึก ๆ กลับมีความสุขอย่างประหลาด กูก็อธิบายให้พวกมึงเข้าใจไม่ได้เหมือนกัน อยากรู้ลองทำดูสิ”

“ไม่เอาด้วยหรอก เชิญทำคนเดียวเอ็งเถอะ”

“แล้วเอ็งล่ะไอ้ภัค”

เสียงหมอหนุ่มถามเพื่อนซึ่งนั่งฟังเงียบ ๆ

“เล่าให้น้องเค้าฟังบ้างสิวะ”

“กูนะรึ...”

ภัคชี้ที่หน้าอกตนเอง เสยผมที่ย้อยมาปกที่หน้าให้อยู่ในรูปทรงเหมือนเดิม กล่าวมายิ้ม ๆ

“โทษทีว่ะเพื่อน....กูไม่เคยเศร้าเหมือนพวกเอ็ง”

“หนอยแน่ะ...ไม่เคยเศร้า ตอนแฟนสาวบอกเลิกแล้วเดินทางไปเรียนต่างประเทศพร้อมแฟนใหม่ กูเห็นนั่งเศร้าจมอยู่กับขวดเบียร์ เอาแต่นั่งซึมกระทือไร้จิตวิญญาณยิ่งกว่าศพตายซากเสียอีก”

ภัคเอามือผลักใบหน้าเพื่อนออกไป กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม

“สำหรับพี่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แล้วแต่อารมณ์ว่าเรื่องที่ทำให้เราเศร้านั้นเป็นเรื่องอะไร ถ้าเครียดจากเรื่องงานพี่ก็ดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย ถ้าเหงาจากเรื่องส่วนตัวก็ออกไปเที่ยวหาดื่มอะไรดับทุกข์และหาเพื่อนคุยแก้เหงาตามคลับ”

หยุดเล่านิดหนึ่งหันหน้ามาทางเจมส์

“แล้วเจมส์ล่ะเวลาเหงา ๆ ชอบทำอะไร?”

ลมหนาวที่พัดโชยมากระทบกายเป็นระยะ ๆ ตลอดถึงอารมณ์เปล่าเปลี่ยวที่ว่างเว้นกิจกามมาเป็นเวลานาน ทำให้เจมส์มองหน้าสามหนุ่มนิ่ง ๆ ยิ้มอย่างมีเลศนัย รับแก้วไวน์ที่หมอหนุ่มคะยั้นคะยอให้ดื่ม ยกขึ้นจิบช้า ๆ จนพร่องไปเกือบหมดแก้ว

“ชอบทำเหมือนที่พวกพี่ ๆ ทำกันนั่นแหละ แต่หลัง ๆ มานี้เจมส์ชอบมีเซ็กส์มากกว่า มันทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีทีเดียว หากไม่ต้องพะวงถึงผลที่ตามมาภายหลัง”

คำตอบของชายหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม ทำให้สองหนุ่มซึ่งเพิ่งรู้จักชายหนุ่มมองหนุ่มน้อยด้วยความประหลาดใจอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองไปทางหมอหนุ่ม ก็เห็นฝ่ายนั้นพยักหน้ามาให้พร้อมกับกล่าวเสริม

“หากพวกเอ็งสองคนรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ผ่านใครมาบ้าง รู้แล้วจะหนาว แม้แต่กูเองก็เคยโดนมากับตนเองแล้ว และโปรดอย่าถามว่ารู้สึกยังไง เพราะกูกำลังจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้...”

แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ถูกหลอกไปโดนสองท่อนผลัดกันรุมเสียบที่โรงแรมแห่งหนึงให้เพื่อนสนิทฟัง

เจมส์ฟังหมอหนุ่มเล่าเรื่องราววีรกามของตนในวันนั้นให้เพื่อนสนิทฟังอย่างออกรสออกชาติ ทำให้หวนคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นตามไปด้วย ก่อให้เกิดความเร่าร้อนและความแปรปรวนในร่างกายจนยากจะระงับความต้องการของตนเอาไว้ได้ หันหน้าไปทางสองหนุ่มซึ่งนอนฟังหมอหนุ่มเล่าด้วยความสนใจ

“พี่สองคนรู้สึกเหมือนผมมั้ย”

“รู้สึกยังไง”

“ร้อนวูบวาบไปทั้งกายและใจ มันหวิว ๆ จนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้”

หันไปทางหมอหนุ่ม

“พี่หมอ...พี่เอาอะไรใส่ลงไปในไวน์หรือเปล่า?”

“โทษทีน้องรัก....พี่รอเวลาเอาคืนมานานแล้ว”

หันหน้าไปทางเพื่อน ๆ

“เอ็งสองคนจะร่วมด้วยกับกู หรือจะเป็นแค่ผู้ชม”

สองหนุ่มซึ่งเกิดความร้อนรุ่มตั้งแต่ได้ฟังเรื่องราวของเพื่อนชายแล้ว พยักหน้าให้กันกล่าวยิ้ม ๆ

“พวกกูก็อยากลองดูเหมือนกัน”

แล้วทั้งสามหนุ่มก็กดร่างหนุ่มน้อยนอนลงกับพื้น จัดการลอกคราบถอดเครื่องอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ออกหมด เหลือเพียงเรือนร่างขาวโพลนกลางอากาศหนาวจัด

"นี่เป็นแผนของพี่หมอหรือนี่"

เจมส์ละล่ำร้องถามออกมา

"เพิ่งรู้ตัวหรือน้องรัก แต่อย่าห่วงเลย สองคนนี้ใหญ่แต่ตัว น้องชายของมันไม่เท่าไหร่หรอก น้อยกว่าเสธณพพอสมควร"

ไม่มีความคิดเห็น:

เด็กหอ 8 CP

มื่อกานต์เก็บของจากห้องตัวเองเสร็จ จึงมาหาอาจารย์ภัทรที่ห้อง ส่วนภัทรอาบน้ำทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อย ควยของภัทรแข็งรอกานต์อยู่นานแล้ว &...